fbpx

HUGO NO PROBLEM

‘99 ปัญหา’ หรือ 99 Problems เพลงฮิตเพลงดังของศิลปินที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้นึกย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีที่แล้วในเอ็มวีเพลงนี้ เราเห็นเขาสะพายกีตาร์เดินผ่านสะพานบรูคลิน ตึกแฟลตไอออน ในแมนฮัตตัน เคยถึงขั้นออกรายการวาไรตี้โชว์เก่าแก่เรตติ้งสูงของ เดวิด เลตเทอร์แมน ฮิวโก้เล่นเพลงนี้เปี่ยมไปด้วยพลังของคนหนุ่ม ชีวิตในวัย 29-30 ของเขาเดินทางไปถึงไข่แดงของวงการเพลงโลกทั้งลอนดอนและนิวยอร์ก ออกผลงานภายใต้สังกัดของศิลปินนามเขื่องอย่าง Jay Z แวดล้อมไปด้วยการทำงานที่เข้มข้น Commercial จ๋า – เจ้าตัวเคยบอกไว้แบบนั้น

เสียงร้องติดหูเพลงนี้และหลายเพลงในอัลบั้ม Old Tyme Religion ยังปรากฏเป็นซาวนด์ดนตรีให้กับแฟชั่นโชว์ โฆษณา เลยไปถึงซีรีส์เรื่องดัง ภาพลักษณ์ของศิลปินชายเคราเข้ม สวมเสื้อแจ็คเก็ตหนัง รองเท้าบูท กางเกงยีนส์ขาม้า กับสายตาที่ดูจะไม่ยี่หระต่อสิ่งใดยามที่ได้สะพายกีตาร์ ปรากฏในสื่อชั้นนำ

ในด้านของความคิดและทัศนคติต่อเรื่องราวต่างๆ ผู้อ่านย่อมทราบดีว่า แทบจะทุกการให้สัมภาษณ์ของเล็ก-ฮิวโก้ มักปรากฏความคิดเห็นที่ออกรสปนแสบสัน ตลกร้าย บางเรื่อง บางวลี หลายคนคงจำได้

GM เคยมีโอกาสสัมภาษณ์ฮิวโก้มากกว่า 3 ครั้ง เห็นการเปลี่ยนผ่านดำเนินไปในแต่ละช่วงเวลา ว่าเขาโฟกัสเอาจริงเอาจังกับเรื่องอะไร ความฝัน การงาน ครอบครัว และมุมมองต่อสังคมไทย

วันนี้เพลง 99 Problems ดังขึ้นในหัวของพวกเรา

ผู้ทำสัมภาษณ์อีกครั้ง ฮิวโก้เดินทางมาหาเราด้วยเสื้อผ้าคอสตูมแบบเดิม เหมือนไม่มีอะไรต่างจากในอดีต

ที่เคยคุยกัน

“สุขสันต์วันเกิดย้อนหลัง 6 สิงหาคมที่ผ่านมานะครับ” GM ทักทาย

ฮิวโก้ยิ้มรับ เขาเล่าถึงแผนการทำงานอย่างขะมักเขม้นกับคอนเสิร์ต ‘ภาษาแม่’ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายนนี้

นึกย้อนได้ว่าเมื่อ 2 ปีก่อน เขาก็มาเล่าแบบนี้ น้ำเสียงที่จริงจังปนความตื่นเต้นกับในคอนเสิร์ตภาษาอังกฤษเต็มรูปแบบ ครั้งแรกในไทย

ตัดภาพมาปัจจุบันเป็น ‘คอนเสิร์ตภาษาไทยเต็มรูปแบบครั้งแรก’ ที่คัดสรรเพลงไทยตั้งแต่ปี 2544 จนถึง ‘ดำสนิท’ ปี 2560 มาเล่น

“มันจะเป็นอุปสรรคไหมที่ไม่มีเพลง 99 Problems อันนี้เราก็ไม่รู้จนกระทั่งถึงคืนนั้น” ฮิวโก้เล่าพลางลูบเครา

ที่ผ่านมาเราอาจมีภาพจำถึงความเท่ ความจัดจ้านในคำพูดคำจาของฮิวโก้ต่อเรื่องราวต่างๆ

แต่ในบทสนทนาต่อไปนี้ เปลี่ยนผ่านเรื่องราวมาถึงวันและวัย 36 มาหมาดๆ อาจกล่าวได้ว่าศิลปินหนุ่มกำลังอยู่ในสภาวะที่ ‘No Problem’ เขาครองชีวิตคุณพ่อลูกสอง ร็อคสตาร์ และคนปลูกผัก ไม่บ่นเท่าเก่า ไม่ขุ่นเท่าก่อน นิ่งและเยือกเย็นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บทเพลง 99 ปัญหา ยังดำเนินต่อไปในหูฟังของเรา แต่ดูเหมือนว่าผู้ชายแว่นดำตรงหน้าจะไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอารมณ์แบบนั้นเท่าไหร่แล้ว

GM : อายุ 36 แล้ว ชีวิตในช่วงนี้ต้องโฟกัสกับเรื่องอะไรบ้าง

ฮิวโก้ : มันเหมือนไม่ต้องโฟกัสอะไรเท่าไหร่ เหมือนเราค้นพบองค์ประกอบหลักของชีวิตแล้ว และเราก็พยายามหาวิธีการบริหารเวลา

ให้เหมาะสม ทั้งความสัมพันธ์กับครอบครัว เช่นเวลาที่มีให้กับลูก ซึ่งตอนนี้เขาปิดเทอมอยู่ ก็ต้องหากิจกรรมทำกับเขา เดี๋ยวใกล้เปิดเทอมก็จะเข้าสู่วัฏจักรเดิมที่ผมคุ้นเคย และเรื่องงาน ซึ่งในส่วนนี้มันจะจัดการกับตัวเอง หมายความว่าถ้ามีงาน เราก็ไปทำงาน ข้อดีของสายงานของผมซึ่งก็เป็น

ข้อเสียด้วยในเวลาเดียวกันคือมันไม่ค่อยมีเวลาที่แน่นอนตายตัวสักเท่าไร แล้วแต่ฤดูกาลของมัน เช่น ช่วงฤดูหนาวก็จะมีงานเล่นดนตรีเยอะหน่อย ส่วนหน้าฝนก็จะมีน้อยหน่อย เพราะไม่ค่อยมีใครกล้าจัดงานกลางแจ้งกัน ด้านอัลบั้ม ทุกอัลบั้มก็จะมีระยะเวลาของมันที่จะอยู่ในสื่อเหมือนกัน

มันก็เลยมีช่วงที่ว่างมากและยุ่งมาก

GM : แล้วในเวลาว่างคุณทำอะไร

ฮิวโก้ : ผมเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียว ซึ่งบางทีมันก็จะทำให้เรากลายเป็นคนที่อยู่คนเดียวเยอะขึ้นกว่าเดิม เพราะเมื่อเราไม่ได้แสวงหาสังคม คนก็จะชวนไปทำอะไรต่างๆ น้อยลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่าพอวันหนึ่งถ้าเราไม่ชอบการอยู่คนเดียว เราก็อาจจะไม่มีทางเลือกแล้ว เพราะทุกคนก็กระจายออกไปจากวงสังคมของเราหมด เวลาว่างผมก็จะอยู่กับหนังสือ อินเทอร์เน็ต เพลง หรือสิ่งที่สามารถทำได้คนเดียว อย่างการไปดูนิทรรศการ หรือการไปอยู่ต่างจังหวัด ซึ่งตอนนี้ ผมปลูกผักอยู่ที่ต่างจังหวัดด้วย มีบ้านเล็กๆ อยู่ ถ้าว่างผมก็จะไปอยู่ที่นั่น

GM : อยู่ในจังหวัดอะไร

ฮิวโก้ : อยู่ระหว่างนครราชสีมากับปราจีนบุรี จริงๆ ก็เกือบจะถึงปราจีนบุรีแล้ว

GM : ความเป็นคุณพ่อของเล็ก-ฮิวโก้ เวลาคุณสนุกกับลูกๆ

เป็นอย่างไรบ้าง ชอบเที่ยวแบบไหน หรือคุยอะไรกัน คุณเป็นพ่อยังไงเวลาอยู่กับลูก

ฮิวโก้ : ก็ไม่ตามใจ เป็นคนเจ้าระเบียบ ส่วนมากถ้าเราไปกันทั้งครอบครัว ผมก็จะต้องเป็นเหมือนกับสุนัขที่ต้อนฝูงแกะ ผมจะพยายามรักษาฝูงให้

อยู่กันเป็นกลุ่ม เพื่อให้ไปในทิศทางที่เราตกลงกันไว้ว่าจะไป ไม่ให้ใครหลงหรือล้มหายไป ผมจะต้องคอยระวัง ซึ่งมันก็อาจจะไม่ใช่บทบาทพ่อที่น่ารักเท่าไร ส่วนความสัมพันธ์ที่น่ารัก ลูกเขาก็จะไปมีกับแม่ซะส่วนใหญ่

ผมรู้สึกว่าหน้าที่ของผมก็คือคนชี้ว่าขอบเขตอยู่ตรงไหน

GM : คุณเป็นพ่อที่ดุไหม

ฮิวโก้ : พอสมควร เป็นเหมือนศาลสูงสุดในบ้าน

GM : แล้วเขากลัวคุณไหม

ฮิวโก้ : คนเล็กเหมือนยังไม่ค่อยกลัว เพราะเขายัง 3 ขวบ เราก็ไม่ได้ดุอะไรเขามาก แต่คนโตก็น่าจะรู้ คือบางทีเด็กๆ เวลาเขาเหนื่อย เพลีย หรือกินน้ำตาลมาเยอะ เขาก็จะงอแง ผมก็จะต้องเอาเขาให้อยู่ ผมรับได้นะถ้าเขาจะโกรธเกลียดพ่อในเวลาชั่ววูบของอารมณ์ นั่นไม่เป็นไร ผมไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนเขาก็ได้ ผมรู้ว่าถ้าให้เขาเลือกว่าจะให้ใครพาไปไหน เขาจะเลือกไป

กับแม่ทุกครั้ง ไปกับแม่สนุกกว่า เขาเป็นคนสนุกกว่าผมอยู่แล้วด้วยนิสัย

GM : ช่วงเวลาที่คุณสนุกกับลูกเป็นยังไง ได้พาไปสวนสนุกบ้างไหม

ฮิวโก้ : ก็ไปนะ แต่ในเมืองไทยผมจะ

ไม่ค่อยออกไปในสถานที่ที่คนเยอะมาก เพราะผมยังบริหารจัดการบทบาท

ในฐานะคนที่อยู่ในวงการบันเทิงกับการเป็นพ่อคนไม่ค่อยได้ ส่วนมากก็อาจจะไปส่องแมลงดูโน่นนี่ เดินเล่นกัน ก็กิจกรรมปกติทั่วไป คงไม่มีใครตายด้านกับเสียงหัวเราะของเด็กๆ

GM : คุณพูดถึงเรื่องแมลง เห็นใน Instagram ของคุณว่าคุณลงรูปแมลงหลายรูป คุณชอบถ่ายรูปด้วยหรือเปล่า

ฮิวโก้ : เมื่อก่อนสมัยที่โทรศัพท์กับกล้องยังไม่ได้มารวมกันอยู่ในเครื่องเดียว ผมก็ชอบถ่ายรูป ล้างฟิล์ม มีช่วงที่บ้ากล้อง Lomo แล้วก็ถ่ายรูป

งงๆ ออกมา แต่พอกล้องโทรศัพท์เริ่มดีขึ้น พกพาสะดวกขึ้น และเราพกมันติดตัวตลอด เวลาเจออะไรก็สามารถถ่ายได้ แล้วเราก็มีพวกเลนส์แบบ

Clip-on คือ เลนส์ Wide กับ Macro มันก็เลยสนุกตรงนี้ ผมรู้สึกว่า

สิ่งเล็กๆ พอนำมาขยายแล้วมันดู

แปลกประหลาดกว่าปกติ

GM : พอมาเชื่อมโยงกับโปสเตอร์งานคอนเสิร์ต ‘ภาษาแม่’ ของคุณ อาร์ตไดเร็กชันต่างๆ มันดูเกี่ยวข้องกับเรื่องของธรรมชาติพอสมควร อยากให้เล่าถึงตรงนี้หน่อย

ฮิวโก้ : ในหลายวัฒนธรรม คำว่า แม่ เป็นคำที่ใช้เพื่อพูดถึงธรรมชาติหรือโลก อย่างคำว่า Mother Earth, Mother Nature หรือระบบนิเวศที่เราอาศัยอยู่ก็เป็นเหมือนเด็กที่อยู่ในท้องแม่ มันเป็นสิ่งที่ทุกคนน่าจะตกลงกันได้ว่าเคยประสบช่วงเวลานั้นแล้วก็คงที่มาของเราซึ่งตอบได้ชัดๆ ว่าเรามาจากแม่ เรามาจากธรรมชาติ เราควรมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแม่หรือเพศแม่ทั้งหมดในฐานะผู้ชาย แต่มันก็มีความเหี้ยมโหดและน่ากลัวของธรรมชาติอยู่เหมือนกัน ผู้ชายลึกๆ แล้วก็คงกลัวและไม่เข้าใจผู้หญิงในสิ่งที่เป็นทั้งปริศนาและความน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน ซึ่งเราก็จะเห็นได้ในงานศิลปะต่างๆ

GM : แม้กระทั่งเพลงของคุณเอง

ฮิวโก้ : แน่นอน ส่วนมากก็จะเกี่ยวกับผู้หญิง ทั้งเรื่องที่เข้าใจและไม่เข้าใจ แต่จริงๆ ที่มาของชื่อ ‘ภาษาแม่’ ตอนแรกมันก็มาตรงๆ จากความคิดว่าถ้าเราจะเล่นคอนเสิร์ตที่เป็นเพลงไทยล้วน เราควรจะมีชื่ออะไรที่จะอธิบายว่าเป็นงานที่แตกต่างจากงานอื่นๆ ที่ผ่านมา นอกจากนี้มันก็มีความประชดประชันนิดๆ เพราะผมเป็นลูกครึ่ง พ่อของผมเป็นฝรั่ง เวลาคนมาถามว่าทำไมถึงชื่อภาษาแม่ ผมก็จะได้ตอบว่าก็เพราะมันไม่ใช่ภาษา (ของ) พ่อผมไงครับ คือที่มามันค่อนข้างไร้สาระ เราก็เลยต้องเริ่มคิดเรื่องอาร์ตไดเร็กชันต่างๆ แล้วคำว่าแม่ นอกจากความหมายของแม่ที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้เป็นคอนเสิร์ตแนวซึ้งหรืออะไรแบบนั้น เพราะเนื้องานก็ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง ไม่ได้มีเพลงที่เกี่ยวกับแม่สักเท่าไร ก็เลยโยงให้ไปเกี่ยวข้อง

กับเรื่องของธรรมชาติ Reference ของรูปปั้นที่เห็นในโปสเตอร์ ก็คือรูปปั้นที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์เคยทำขึ้นคือรูปปั้นแม่หรือผู้หญิงที่สมบูรณ์ สิ่งแรกที่เขาบูชาคือผู้หญิงท้อง เพราะมันหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ เป็นต้นไม้ที่มีผล วงจรวัฏจักรของชีวิต แม้แต่ปาโบล

ปีกัสโซ หรือศิลปินหลายๆ คน ก็ยังมีแนวคิดนี้อยู่ เราก็เลยพยายามจะ

เชื่อมโยงให้มันเกี่ยวข้องกับศิลปะว่า

มันเป็น ‘แม่’ ของทุกอย่าง

GM : ในมุมหนึ่ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ที่ทั้ง 10 เพลงของอัลบั้มดำสนิทได้ถูกปล่อยออกมา เพลงที่เราชอบและฟังได้บ่อยๆ คือเพลง ‘ครอบครอง’ เพลงนี้คุณบรรยายถึงผู้หญิงได้นุ่มนวล เราติดตามผลงานของคุณมานานพอสมควร พบว่าหลายๆ เพลงในชุดแรกๆ อาจจะพูดถึงการผจญภัยของตัวเอง ท่องไปในโลกกว้างอย่างเพลงสายลม แต่พอมาถึงชุดที่ 3 ชุดดำสนิท ก็มีเรื่องมุมมองความรักเข้ามา อยากให้พูดถึงเพลงครอบครอง ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร

ฮิวโก้ : เพลงนี้มันก็ค่อนข้างตรงๆ ไม่ได้ลึกซึ้งเท่าไร เป็นเรื่องที่สังเกตเห็น และจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่เก่าแก่มาก มันเป็นเรื่องของผู้หญิงที่จากภายนอกอาจจะดูเหมือนว่าสามารถเลือกใครก็ได้ในโลกนี้ เป็นคนที่ดูมีทั้งเสน่ห์และโอกาสมากมาย แต่แล้วก็ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ชายที่ไม่ดีพอในความคิดเห็นของเรา แล้วเราก็เหมือนจะเดาใจผู้ชายได้ว่านี่มันไม่ใช่ความรักหรอก เขาเอาเธอมาประดับเสริมบารมีตัวเอง ซึ่งบางทีเราไม่เข้าใจว่าผู้หญิงเขารู้ไหมว่ามันคือการเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ความรัก ซึ่งมันไม่เหมือนกัน ความรักมันต้องมีความเท่าเทียมและให้เกียรติกัน มันเลยเป็นเหมือนเพลงบ่น แต่ก็เป็นการบ่นในฐานะคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง แค่งุนงงและไม่เข้าใจ เพราะเราเคยเจอผู้หญิงบางคนซึ่งเขาดูฉลาด เหมือนจะเข้าใจโลกและมองเกมออก แต่ก็ยังตกเป็นเหยื่อของผู้ชายที่ดูไม่น่าสนใจพอสำหรับผู้หญิงที่น่าสนใจขนาดนั้น

GM : ผู้หญิงเป็นแรงบันดาลใจของคุณในการทำงานศิลปะไหม

ฮิวโก้ : ส่วนใหญ่ เพราะว่าผมรู้สึกว่าร็อคแอนด์โรลในแนวทางที่เราอยู่มันก็จะพัวพันกับเรื่องเหล่านี้ แล้วผู้บริโภคส่วนมากผมเชื่อว่าเกิน 50 เปอร์เซ็นต์มานิดนึงน่าจะเป็นผู้หญิง

GM : หลังจากที่ปล่อยเพลงไป คุณอยู่ในฝั่งวิเคราะห์เรื่องการตลาดด้วยบ้างไหม

ฮิวโก้ : ไม่เท่าไร นอกจากเราเชื่อว่าเราถึงจุดนี้แล้ว โอกาสที่เราได้รับในเบื้องต้นและโอกาสที่ตามมามันเป็นเรื่องของดวง แต่ในการรักษาตำแหน่งหรือสิทธิ์ที่จะอยู่ในวงการดนตรี อันนี้มันมาจากวิจารณญาณของผม เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ผมกล้าบอกว่าผมมีวิจารณญาณ ผมเห็นอะไรมาเยอะพอที่จะเรียกตัวเองว่ามีรสนิยมในเรื่องว่าผมควรทำอะไร อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนอื่น แต่ผมรู้ว่าจุลจักรควรทำอะไร ควรปล่อยผลงานแบบไหน แล้วก็หวังว่าศิลปินทุกคนจะได้มาถึงจุดนี้ คือการรู้ว่าอะไรเหมาะสมกับตัวเอง มีหลักฐานคืองานที่ผ่านมา จากมุมผมมันดูเหมือนความเข้าใจระหว่างผมกับคนดู โลกภายในและภายนอกมันเริ่มตรงกันมากขึ้น ทำให้ผมเชื่อว่าผมควรให้คุณค่ากับส่วนที่เป็นศิลปะของงานให้มากที่สุด เพราะไม่มีใครแคร์มันเท่ากับผม นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้ตอนที่ผมไปเมืองนอก คือไม่มีใครแคร์อนาคตของเราเท่ากับตัวเราเอง แล้วเราจะไปหวังว่าจะมีอัศวิน

ขี่ม้าขาวพาเราเข้าเส้นชัยนี่ไม่มีทาง ไม่มีใครแคร์ผลงานของเราเท่ากับเราเอง เพราะฉะนั้นเราจะต้องรับผิดชอบและปั้นมันออกมาให้เป็นอย่างที่เราชอบ และอีกอย่างที่ผมเชื่อคือสไตล์ของดนตรีเป็นยังไงก็ได้ ยิ่งในเมืองไทยผมว่าคนฟังรับได้หมด แต่เนื้อร้องต้องฟังรู้เรื่อง

GM : เรามีโอกาสได้ดูคุณเล่นหลายที่ ชอบประโยคหนึ่งที่คุณเคยพูดไว้ประมาณ 2 ปีที่แล้วว่า เวลาที่คุณอยู่ในชีวิตประจำวันคุณจะดูป่วยๆ แต่เวลาที่คุณเล่นดนตรี คุณกลายเป็นคนปกติ ดูคุณเล่นแล้วเห็นคุณได้ใช้เวลาไปกับการปรับจูนสาย เหมือนคุณอยู่ในโมเมนต์ของคุณ กาลเวลาในตอนนั้นมันหยุดนิ่งไหม อยากให้คุณเล่าโมเมนต์ตอนนั้นให้ฟังหน่อย

ฮิวโก้ : ไม่ถึงกับหยุดนิ่ง แต่มันเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์ และเราสามารถมีพื้นที่ยืดหยุ่นมากกว่า ในชีวิตปกติมันค่อนข้างกดดัน เราจะรู้ตัวตลอดเวลา เช่นว่าเมื่อกี้เรามาสาย หรืออะไรก็ตามในหน้าที่มนุษย์ เราก็คงเป็นพ่อหรือสามีที่ดีกว่านี้ได้ เราคงเป็นคนใจเย็นกว่านี้ ขยันกว่านี้ ดูแลสุขภาพตัวเองได้ดีกว่านี้ มีหลายอย่างที่เราควรจะทำในชีวิตปกติ มีข่าวสารและเทคนิคต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคมหรืออะไรก็ตาม และเราก็รู้ว่าเราบกพร่องแทบจะทุกข้อ ไม่มากก็น้อย แต่ในการเป็นฮิวโก้บนเวทีมีผมคนเดียวที่ทำได้ แล้วคนดูก็ให้โอกาสในการมาดูผม เราไว้ใจกัน มันเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์ วงดนตรีที่เล่นกับผม ณ เวลานี้ก็พร้อม มีสมาธิ ไม่มีใครเป็นขี้เมา ติดยา หรือมีปัญหาภายในวง ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์ที่สุด สำหรับผมในฐานะคนเห็นแก่ตัวตอนนั้นผมสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่กับเด็กอายุ 3 ขวบ ถึงผมจะชอบอยู่กับเขามาก แต่สมาธิของผมก็อยู่กับเขาได้

ไม่นาน มันจะมีจุดที่เหนื่อย ซึ่งอันนี้มันเป็นการเอาตัวรอดให้ผ่านไปวันๆ ให้เขาหัวถึงหมอนโดยที่เขาปลอดภัย ซึ่งบางวันก็ทำสำเร็จบางวันก็ไม่ แต่เวลาอยู่บนเวที มันเป็นความรู้สึกเหมือนผมหวดไม้ตีแล้วโดนลูก มันสะใจ

GM : ด้านหนึ่งคุณค่อนข้างมีโลกส่วนตัว และด้านหนึ่งบนเวทีคุณก็เป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่ดี เวลาก่อนจะเล่นเพลง 99 Problems รู้สึกเหมือนคุณเป็นแม่ทัพ มีการถ่ายทอดรับ-ส่งพลังงานกับคนดูอย่างดี ในโมเมนต์ตอนนั้น คุณคิดอะไรอยู่

ฮิวโก้ : มันมักจะมาท้ายๆ งานแล้ว เป็นเพลงที่รู้สึกว่าคนรู้จักและอยากฟัง มันเลยง่ายกว่าและก็สบายใจได้แล้วว่าทุกคนได้ในสิ่งที่อยากได้ แม้แต่ผมเองในการที่มีเพลงที่ติดและเป็นเพลงที่ตัวเองชอบด้วย ในเชิงดนตรีที่ผมพยายามนำเสนอมาตลอดในการประยุกต์ดนตรีเก่าของอเมริกามาให้คนไทยฟัง และพอมันมีอะไรที่ติด มันก็เป็นจุดคลี่คลาย เพราะบางทีผมก็จะต้องใส่เพลงยากๆ เข้าไปด้วยแล้ว 99 Problems จะเป็นเหมือนการปล่อยหนังสติ๊ก

GM : หากมี 100 เปอร์เซ็นต์ ชีวิตคุณให้กับภาคดนตรีกี่เปอร์เซ็นต์

ฮิวโก้ : คงประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือคือครอบครัว เพื่อนนี่แทบไม่ได้เจอเลย เพราะพรรคพวกส่วนมากก็มาเจอกันที่งาน งานผมมันดีตรงนี้ เพราะมันก็คล้ายกับได้ไปเที่ยว ก็เลยไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวนอกเวลางาน

GM : ในวัย 36-37 ปี คุณแบ่งเวลาให้เพื่อนอย่างไร ยังมีความสนุกแบบวัยรุ่นอยู่บ้างไหม

ฮิวโก้ : ไม่มี จะมีก็ต่อเมื่อได้ออกไปเล่นดนตรีด้วยกัน หรือพรรคพวกมาดูมาชมงานกัน บางทีถ้าว่างจริงๆ ก็อาจจะไปดูงานของเพื่อนบ้าง แต่ผมพยายามบริหารให้ทุกอย่างอยู่ในความเหมาะสม เพราะเดี๋ยวลูกโต เขาก็จะไม่อยากอยู่กับเราแล้ว ผมหวังว่าเพื่อนๆ ผมยังคงอยู่ในวันที่ผมอายุ 50-60 ปี แล้วตอนนั้นเราจะมานั่งเมาท์กันทุกวันก็ได้

GM : เวลาไปอยู่ต่างจังหวัด หรือไปพักที่บ้านต่างจังหวัด วันๆ หนึ่งคุณทำอะไรบ้าง

ฮิวโก้ : ส่วนมากก็นั่งนิ่งๆ เงียบๆ ฟังเสียงนก เอากล้องมาส่องดูแล้วก็เปิดหนังสือดูว่ามันคือตัวไหน หรือบางทีก็ส่งรูปไปให้คนที่รู้เรื่องนก นั่งวาดรูป วางเซตลิสต์ บางทีผมจะเอาการบ้านที่ผมต้องทำไปนั่งทำที่ต่างจังหวัด งานเอกสาร กรอกแบบฟอร์มโรงเรียนของลูกอะไรต่างๆ บางทีก็เดินรอบสวนดูผลิตผล แปลงพริก สะระแหน่ บางทีก็เดินไปคุยกับชาวบ้านที่ร้านค้า แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร เขาเรียกผม ไอ้ทิด

GM : ชอบไหมเวลาอยู่ในที่ที่คนไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร

ฮิวโก้ : ชอบมาก เพราะเขาจะทำตัวธรรมชาติ พอคนรู้ว่าผมเป็นใคร บางคนเขาจะมีปฏิกิริยาที่ประหลาด แต่อยู่กับคนที่ไม่รู้จักเรา มันก็สนุกดี มันเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปแล้วเลือกชีวิตอีกเส้นทางที่ไม่ใช่เราในตอนนี้

GM : เดี๋ยวนี้มันมีคำคำหนึ่ง คือ อินโทรเวิร์ต (Introvert) คุณเป็นไหม

ฮิวโก้ : ไม่รู้ ผมไม่ค่อยตั้งค่าให้กับตัวเองว่าผมเป็นอะไรเท่าไร เมื่อก่อนเราคิดว่าเราเป็นคนกำหนดว่าเราเป็นใคร แต่จริงๆ ตัวตนของเรามันเป็นการตกลงระหว่างเรากับสังคมหรือคนรอบข้าง

GM : คุณเคยบอกว่าชอบคลินต์ อีสต์วูด (Clint Eastwood) และลุคของคุณคือบทบาทของคลินต์ อีสต์วูดในหนังคาวบอย คุณคิดว่าพออายุ 40-50 ปี คุณจะยังแต่งตัวแบบนี้ไหม

ฮิวโก้ : ไม่แน่ บางทีบางวันผมก็รู้สึกว่า เราแก่ไปไหมวะที่จะมานั่งแต่งตัวแบบนี้ แต่ผมก็มีแต่เสื้อผ้าแบบนี้ แล้วก็ทำเสื้อผ้ากับพี่กุ้ง (ศรุดา นิ่มพิทักษ์พงศ์) ด้วย ซึ่งทั้งหมดที่ใส่ก็เป็นเสื้อผ้าของผมเอง ก็คงต้องอยู่ในโหมดนี้ไป แต่ใจหนึ่งก็อยากแต่งตัวแบบพ่อบ้างแล้วล่ะ

GM : เสื้อโปโล…

ฮิวโก้ : ไม่มีทาง ขออภัยนะสำหรับใครที่ชอบ แต่สำหรับผมเสื้อโปโลนี่เป็นหายนะทางแฟชั่นจริงๆ คือถ้าคุณอยากจะใส่เสื้อเชิ้ตก็ใส่ไป เสื้อยืดก็ใส่ไป แต่โปโล มันก้ำกึ่งและก็ไม่ได้ดูเรียบร้อยขึ้นมาเลย เผลอๆ บางอารมณ์ใส่เสื้อยืดคอกลมยังดูเรียบร้อยกว่าอีก และผมก็ไม่ตีกอล์ฟด้วย

คนอื่นจะใส่ก็ใส่ไปเถอะ ไม่ได้ว่าอะไร แต่ผมไม่มีวันใส่ แต่งตัวแบบพ่อ ผมหมายถึงแต่งตัวแบบใส่สูทไปเลย เข้าที่ไหนก็ได้ งานแต่ง งานศพ หรืองานประชุมผู้ปกครองก็ได้ มีความน่าเชื่อถือเป็นผู้ใหญ่ สลัดความเป็นเด็กออกไปเสียที

GM : เวลาโดนเชิญไปงานโรงเรียนต่างๆ ของลูก คุณไปลุคแบบนี้เลยไหม

ฮิวโก้ : บางทีก็ไม่มีทางเลือก เพราะเรามาจากที่อื่น แต่ถ้ารู้ล่วงหน้า ขาอาจจะบานน้อยลง ช่วงแรกๆ ขาจะไม่บานเพราะผมไม่อยากทำให้ใครตกใจ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเราเป็นยังไง แต่ผมก็จะมีเสื้อผ้าอีกเซตหนึ่งที่ผมเรียกว่าเสื้อผ้าที่ไม่บ่งบอกอะไรทั้งสิ้น ก็คือกางเกงสแล็คสีดำ เสื้อแจ็คเก็ตสีดำคล้ายๆ กับที่แมสเซนเจอร์ใส่ แล้วก็ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวข้างในก็จบ

GM : พอเรานึกภาพของการแต่งตัวของคุณ ก็จะเป็นสไตล์ของคนที่ชอบวินเทจ ครั้งหนึ่งเราเคยคุยกันแล้วคุณบอกว่า ของที่คุณชอบมักจะไม่ใช่ของในปีปัจจุบัน อย่างรถที่ใช้หรืออะไรต่างๆ ตอนนี้ยังเป็นอยู่ไหม

ฮิวโก้ : ไม่ พอมีลูก มันขับรถวินเทจไม่ได้ เพราะว่าการดับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องถึงตรงเวลา ถึงผมจะเผื่อเวลาก็ตาม แต่ผมจะมานั่งซ่อมเครื่อง V8 ข้างถนนไม่ได้ ถ้าลูกต้องไปโรงเรียน โรงพยาบาล หรือเรากำลังไปต่างจังหวัดกัน ตอนนี้ก็เลยขับรถร่วมสมัยที่ใช้งานได้ดี จุคนและเก็บของได้เยอะ และมีความปลอดภัยหากเกิดอุบัติเหตุ

GM : มีครั้งหนึ่งที่คุณบอกว่าเป็นช่วงที่มีความสุขคือตอนที่ไปโชว์คอนเสิร์ตในสหรัฐอเมริกา แล้วคุณได้ขับรถไปเรื่อยๆ ตอนนี้ยังมีแบบนั้นอยู่ไหม

ฮิวโก้ : มีสิครับ พอเลยด่านทางด่วนแจ้งวัฒนะก็หลุดแล้ว ยิ่งถ้าเป็นวันธรรมดา และข้อดีของการเป็นนักดนตรีคือถ้าไม่มีติดอะไร และผมได้รับวีซ่าให้หายไปได้สักสองคืน ผมก็ขับออกนอกเมืองเลย บางทีก็ไปคนเดียว

GM : ชอบฟังเพลงเวลาขับรถไหม ชอบฟังเพลงแนวอะไร

ฮิวโก้ : ก็ชอบนะ ผมฟังหลากหลาย ศิลปินไทยบ้าง เพลงเก่าที่ผมฟังแล้วฟังอีก เพลงเร็กเก้ เพลงอะไรก็ได้

GM : เวลาพูดถึงการฟังเพลง คุณเป็นคนที่จะกลับไปฟังเพลงในอดีตหรือว่าหาอะไรใหม่ๆ มาฟังตลอด

ฮิวโก้ : มันมาเป็นช่วงๆ มันมีช่วงที่ค้นหาและช่วงที่กลับสู่สิ่งที่ตัวเองรู้ว่าชอบและสบายใจ ตอนก่อนที่ทำ Deep In The Long Grass

ยังเป็นช่วงแสวงหาสิ่งใหม่ๆ และก็ยังพยายามจะเข้าใจข้อดีของดนตรีแบบฮิปฮอปหรือดนตรีร่วมสมัยที่มีความเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตอนนี้ ผมเริ่มเบื่อและเหมือนอยู่ในช่วงอนุรักษนิยม คือพอใจกับในจุดที่อยู่ ซึ่งนานๆ ทีจะมีอะไรใหม่ๆ ที่ชอบ และมักจะเป็นวงไทยมากกว่า

GM : ล่าสุดคุณทำนิทรรศการเปิดวังปารุสก์

ฮิวโก้ : ทางแม่ผมทำมากกว่า เพื่อปล่อยหนังสือจดหมายถึงลูกชายเล็ก และอีกเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับสยามในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

ซึ่งหนังสือมันพร้อมกับนิทรรศการ ทางพิพิธภัณฑ์ตำรวจแห่งชาติและหน่วยข่าวกรองก็ได้อนุญาตเปิดให้ประชาชนเข้าไปดู ก็ยังไปดูได้ ถึงวันที่ 30 กันยายน และก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ซื้อหนังสือเกิดวังปารุสก์ ที่วังปารุสก์ ซึ่งก็น่าจะเป็นอะไรที่พิเศษ เพราะว่าไม่เคยมีใครได้เข้าไปในนั้นตั้งแต่เปลี่ยนระบบราชการจากสยามเป็นเมืองไทย

GM : ฟังคุณมาระดับหนึ่ง พบว่าคุณมีความเป็นคุณพ่อที่สนุกสนานกับลูก และด้านหนึ่งคุณก็ต้องบริหารความสุขส่วนตัวอย่างการเล่นดนตรี คุณพอใจกับชีวิตที่เป็นไปแบบนี้ประมาณไหน

ฮิวโก้ : จริงๆ ถ้าหากมีงานเยอะกว่านี้อีกนิดหนึ่งก็ดี ไม่ปฏิเสธที่จะทำงานถี่กว่านี้อีกหน่อย แต่ถ้ามันแค่นี้ก็แค่นี้ แต่หากมันลดลงกว่านี้ก็อาจจะต้องเพิ่มสายงานมากขึ้น ส่วนเรื่องของเด็กๆ มันก็คงไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง แต่อย่างน้อยเราก็พยายามและไม่ปล่อยให้มีอย่างอื่นมาดึงดูดเวลาของเราไปจากเขา นอกจากงาน เราก็ไม่ได้มีงานอดิเรกอื่นๆ ที่จะดึงเวลาเราไปจากลูก

GM : เล่นโซเชียลมีเดียบ้างไหม

ฮิวโก้ : สำหรับการงานมันก็เป็นเครื่องมือที่ดี ผมชอบเปรียบเทียบโซเชียลมีเดียเหมือนกับไขควง คุณเอามันไปซ่อมเพื่อใช้ประโยชน์ก็ได้ หรือเอาไปแทงคอคนก็ได้ แล้วแต่จะใช้ อินเทอร์เน็ตก็เป็นแบบนี้ เป็นดาบสองคม มันไม่ได้ดีหรือร้าย มันเป็นกลางเหมือนฟ้าฝน อยู่ที่คนเอาไปใช้

GM : แต่เราคงไม่ได้เห็นคุณเล่น Snapchat อะไรแบบนี้ใช่ไหม

ฮิวโก้ : ไม่ ผมไม่ได้เป็นคนสนุก ผมไม่ได้สนุกกับเรื่องพวกนี้เท่าไร แต่ผมชอบ Instagram ผมชอบดูรูปที่ไม่ใช่รูปอาหารหรือเซลฟี่ สองอย่างนี้ผมเฉยๆ เพราะว่าผมรู้จักคุณอยู่แล้ว ผมรู้ว่าหน้าตาคุณเป็นยังไง แต่ชอบเห็นมุมมองของคนอื่นว่าเขาทำอะไรอยู่ ณ ตอนนั้น โดยเฉพาะเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศหรือต่างจังหวัดที่เราไม่ค่อยได้เจอกัน อันนั้นน่ะน่ารักดี เฟซบุ๊กบางวันก็เกลียดบางวันก็รัก แต่ในเรื่องการทำงานมันเป็นประโยชน์มาก เพราะว่ามันดึงอำนาจกลับมาสู่ผู้ผลิต และมันทำให้ต้องพึ่งพาสื่อน้อยลง แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่ไม่ต้องพึ่งสื่อนอกเลย ซึ่งหลักฐานคือการที่ผมนั่งอยู่ตรงนี้ มันก็ยังจำเป็นที่จะต้องออกไปหาช่องทางอื่นเพื่อให้เรื่องของเราไปถึงหูถึงตาคนให้มากที่สุด เราต้องให้โอกาสงานของเราได้ประสบความสำเร็จ นี่เป็น

บทเรียนสำคัญที่บางทีสายร็อคแอนด์โรลอาจจะคิดว่าตัวเองเจ๋งอยู่แล้ว คนอื่นต้องมาเข้าหาเรา และชอบหลอกตัวเองว่าไม่ได้ทำงานเพื่อคนอื่น แต่ทำเพื่อตัวเอง มันไม่มีศิลปินคนไหนทำศิลปะเพื่อตัวเอง อันนั้นเป็นการโกหก ถ้ายอมรับแล้วว่าเราอยากจะประสบความสำเร็จ อยากให้คนเข้ามามีส่วนร่วม เราก็ปฏิเสธโซเชียลมีเดียไม่ได้

GM : คุณมีคนติดตามอยู่ 1 ล้านเศษๆ เวลาจะโพสต์ลงในเฟซบุ๊กที่มีคนติดตามอยู่มากขนาดนี้ คุณรู้สึกเกร็งบ้างไหม

ฮิวโก้ : ของผมมันเป็นการงานหมด มันแทบไม่มีอารมณ์ส่วนตัว และเพจของผมมันค่อนข้างจริงจังมาก คือจะมีโพสต์อย่าง วันนี้เล่นที่ไหน และผมก็ไม่ค่อยเขียนแคปชันอะไรมาก ถ้าเห็นยาวๆ คือเป็นอันที่แชร์มาจากค่าย

GM : เราชอบเวลาที่คุณเจออะไรเจ๋งๆ มา แล้วมาแชร์ในเพจ

ฮิวโก้ : ใช่ๆ ถ้าผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่คนน่าจะชอบ ผมก็จะโพสต์ แต่ผมไม่ชอบแบบโพสต์อะไรก็ได้ พยายามจะคุมโทนบ้าง แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ซีเรียส Instagram อันนี้จะลึกสุด คือไม่สนคนอื่นเลย ถ้าอยากจะเห็นแมลงปออย่างใกล้ชิดก็ติดตามกันมาได้ (@Hugolek)

GM : จำได้ว่าคุณบอกว่า จะไม่มีชีวิตที่ไม่อ่านหนังสือ คือคุณจะเป็นคนที่ต้องอ่านหนังสือ แล้วช่วงนี้อ่านอะไรอยู่บ้าง

ฮิวโก้ : ช่วงนี้อ่านเรื่องของราชวงศ์โรมานอฟ ซึ่งเป็นราชวงศ์กษัตริย์ที่ปกครองประเทศรัสเซียมายาวนานหลายร้อยปี จนกระทั่งการปฏิวัติที่เกิดขึ้นในปี 1917 จึงถูกประหารชีวิตทั้งหมด อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของประเทศยูเครนว่าทำไมรัสเซียกับยูเครนถึงพัวพันเกี่ยวข้องกันมากขนาดนี้

GM : ปีๆ หนึ่งคุณมีจำนวนเป้าหมายในการอ่านหนังสือไหม

ฮิวโก้ : ไม่มีเป้า บางทีก็น้อย ถ้างานถี่ ลูกเรียน และอินเทอร์เน็ตยูทูบบางทีก็ดึงเวลาผมไปเยอะ บางทีผมก็ชอบนั่งฟังเลคเชอร์ ยิ่งในยุคทรัมป์มันยิ่งเป็นเหมือนละครที่ผมติดเลย คอยดูว่าวันนี้เขาพูดอะไร ทำอะไรบ้าง และผมชอบที่จะเห็นวงการสื่อและวงการปัญญาชนของสหรัฐอเมริกานั่งตกใจ บางทีพวกเขาก็ดูเป็นเหมือนผู้รู้ที่รู้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้เห็นเขานั่งตกใจกับตัวเอง มันทำให้ผมสบายใจขึ้นว่าเมืองไทยก็อยู่ในเทรนด์โลก ในเรื่องของความแปลกประหลาด และในเรื่องของการเมืองที่ไม่เสถียร จริงๆ เราไม่ผิดปกติเลย ทั้งโลกกำลังตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน ประชาธิปไตยมากน้อย หรือยังไง เช่นเดียวกัน คือมันทั้งน่ากลัวและก็น่าขำ มันทำให้เราเห็นอะไรได้เยอะ

GM : ในปี 2017 มีเหตุการณ์ไหนไหมที่ทำให้คุณรู้สึกว่า “เฮ้ย! มันเกิดขึ้นในปีนี้เหรอ มันเป็นแบบนี้เหรอ”

ฮิวโก้ : เรื่องอังกฤษออกจากยูโรในปีที่แล้ว นี่มันไม่น่าเชื่อเลย ไม่น่าเชื่อเลยเรื่อง Brexit เนี่ย

GM : เมื่อกี้พูดถึงยูทูบที่ดูปัญญาชนพูดกัน แล้วอย่าง TED Talks แบบนี้คุณดูไหม

ฮิวโก้ : ผมเคยดูในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ผมรู้สึกว่าการพูดคุยสั้นๆ แบบนั้น มันไม่เพียงพอสำหรับผม มันไม่อิ่ม ผมต้องการเลคเชอร์แบบชั่วโมงครึ่ง สองชั่วโมง ส่วนมากเป็นคลิปจากมหาวิทยาลัยต่างๆ อย่างนักเขียนที่เราชอบไปนั่งเสวนาเรื่องระบบปกครองในศตวรรษต่างๆ คือมันเหมือนได้เข้าคอร์สเรียน บางทีนอนไม่หลับก็นั่งฟัง นอนไม่หลับก็ได้ความรู้ ถ้าเบื่อจนหลับไป ก็ดีแล้วที่ได้หลับ

GM : คุณน่าจะมีนักเขียนที่ชื่นชอบหลายคน พอจะยกมาสักคนได้ไหม

ฮิวโก้ : หลายคนเลยครับ เล่มที่มีอิทธิพลในช่วงวัยรุ่นของผมมากที่สุดคือเรื่อง มูซาชิ ของ เอจิ โยะชิกะวะ เหมาะมากสำหรับผู้ชายที่กำลังโผงผาง หนังสือมันเต็มไปด้วยสัจธรรม สิ่งที่ผมเจอในตอนนี้มันคล้ายๆ กับบทท้ายๆ กลางๆ ของมูซาชิด้วย ซึ่งมันไม่น่าเชื่อว่าหนังสือที่เก่าขนาดนี้จะเกี่ยวข้องกับชีวิตคนอย่างผมได้ สมัยที่อ่านแรกๆ ในช่วงที่เขาไปทำนากับเด็ก ผมเบื่อมาก ผมจะชอบช่วงต้นๆ กับช่วงที่เจอกับข้าศึก แต่ชีวิตตอนนี้มันคล้ายกับช่วงที่เขาทำนา และเข้าใจว่าการดูแลคนอื่นมันสำคัญกว่า เล่มนี้ต้องอ่าน

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ