หนึ่งวันคงเพียงพอกับการเดินเล่นในซานมารีโน ประเทศเล็กๆ ที่มีเนื้อที่เพียง 61.5 ตารางกิโลเมตร ถือเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กอันดับสามของยุโรปรองมาจากนครรัฐวาติกันและโมนาโก ดินแดนที่มีเรื่องราวและภูมิประเทศสวยงาม เพราะตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาแอเพนไนน์ ห้อมล้อมด้วยแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา และแคว้นมาร์เกของอิตาลี มีประชากรอยู่อาศัยเพียง 32,000 คนเท่านั้น แต่ประเทศนี้กลับดูคึกคักเพราะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศเดินทางมาเยือน จึงทำให้รายได้หลักมาจากการท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน
ด้วยภูมิประเทศที่ตั้งอยู่บนภูเขา ดังนั้นเขตเมืองเก่าจะอยู่บนหน้าผาสูงชัน ส่วนเขตเมืองใหม่จะอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขา เป็นเขตที่อยู่อาศัย มีเพียงถนนแคบๆ นำทางไปยังยอดหน้าผาที่เป็นที่ตั้งของป้อมปราการไฮไลต์ของประเทศนี้ ซึ่งเป็นจุดหมายแรกของวันนี้
ด้วยความช่างสงสัยอยากรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์อย่างละเอียด จึงตัดสินใจจ้างไกด์นำทางให้เล่าเรื่องของประเทศนี้ให้ฟังระหว่างเดินเท้าขึ้นไปยังป้อมปราการ แต่ต้องตั้งใจหน่อยเพราะภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนนั้นฟังยาก เขาเกริ่นเริ่มเรื่องว่าประเทศนี้มีอิสรภาพยาวนานมากว่า 1,700 ปี หลังจากอาณาจักรโรมันล่มสลาย เมืองต่างๆ ก็แตกแยกและปกครองตนเองแบบนครรัฐ บางช่วงก็ทำสงครามกันเพื่อแย่งชิงความยิ่งใหญ่ ซานมารีโนก็เป็นหนึ่งในนครรัฐในช่วงเวลานั้น แต่ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงชัน จึงยากที่นครรัฐอื่นๆ จะมาแย่งชิง ต่อมาภายหลังที่การิบัลดีพยายามรวมประเทศ จึงต้องทำสงครามกับเมืองต่างๆ ที่คัดค้านการรวมชาติ โดยเฉพาะเมืองที่สวามิภักดิ์ต่อพระสันตะปาปา เขตภูเขาของซานมารีโนจึงกลายเป็นที่ลี้ภัย หลังจากสงครามสิ้นสุด ซานมารีโนได้แสดงความปรารถนาที่จะไม่เข้าร่วมกับชาติที่เกิดใหม่ ครั้งที่เคยให้ลี้ภัยจึงยอมให้เป็นประเทศที่มีอธิปไตยต่อไป สืบเนื่องมาจวบจนถึงปัจจุบัน หลังจากนั้นซานมารีโนก็ได้เข้าร่วมกับสหประชาชาติและสหภาพยุโรป จนกลายเป็นหนึ่งประเทศที่มีบทบาทในเวทีโลก
เดินตามทางฟังเรื่องราวเพลินๆ จนมาถึงยอดเขาที่สูงที่สุดของซานมารีโนที่มีชื่อเรียกว่า ตาตีโน เป็นที่ตั้งของป้อมปราการกูไอตา ฐานทัพสำคัญในอดีต โดยมีหอคอยกูไอตาตั้งตระหง่านโดดเด่นบนหน้าผา สามารถชื่นชมวิวทิวทัศน์ได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา โดยป้อมปราการถูกก่อสร้างตามสถาปัตยกรรมโรมัน มีแนวกำแพงหินล้อมค่าย เป็นที่ตั้งของร้านอาหารและร้านค้ามากมาย สามารถเลือกชิมอาหารอิตาเลียนรสเด็ดรองท้องก่อนเดินเท้าไปยังจุดหมายต่อไป
อีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดคือวิหารนักบุญมารีโน ถือเป็นผู้สถาปนาและองค์อุปถัมภ์ของซานมารีโนตั้งแต่เริ่มแรก มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เล่าว่าในช่วงปี 257 เกิดการกวาดล้างชาวคริสต์ จนเป็นเหตุให้ช่างหินที่ชื่อว่า มารีนุส อพยพหนีการตามล่าของทหารโรมันมายังบริเวณมอนเตตีตาโน ซึ่งคือซานมารีโนในปัจจุบัน เริ่มตั้งถิ่นฐานบนภูเขาสูงดูทุรกันดาร จึงไม่เป็นที่สนใจของเหล่าทหาร ระยะเวลาผ่านพ้นไปจนสามารถก่อตัวเป็นรัฐอิสระ ภายหลังได้ใช้ชื่อตามมารีนุส ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่มาสร้างดินแดน จนเขาได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญองค์หนึ่งในชื่อซานมารีโน ชาวเมืองได้สร้างอาคารหินแบบโรมัน ถึงแม้จะผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานแต่อาคารแห่งนี้ยังคงความสวยงามเพราะชาวเมืองช่วยกันบูรณะ จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยว นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์อยู่เป็นประจำ
ก่อนพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าจึงแวะมายังป้อมเซสตา เพื่อเก็บภาพของป้อมปราการกูไอตาจากมุมนี้ ซึ่งป้อมเซสตาในปัจจุบันได้รับการปรับปรุงจนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุโบราณ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้เพื่อบอกเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศนี้อย่างละเอียด ปิดทริปด้วยการเดินเลือกซื้อของตรงประตูเมืองเก่าที่มีร้านอาหารและร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย โดยถนนนี้จะเป็นถนนหินแบบโรมัน ลาดชันตามแบบเมืองบนภูเขา ดีนะที่ช่วงนี้ออกกำลังกายบ่อยจึงมีแรงเดินเล่นได้อย่างสบายๆ
