ผมต้องจำใจยอมรับว่า “ใจหญิง” นั้นรวนเร ใจหญิงนั้น บทจะป่วยขึ้นมา ‘วินิจฉัยไม่ง่าย รักษาได้แต่ก็ไม่ง่ายอีกเหมือนกัน’ หมอหัวใจทั่วโลกต่างยอมรับในข้อเท็จจริงนี้เช่นเดียวกับผม ตัวอย่าง ความแตกต่าง (หรือช่องว่าง) ระหว่างหัวใจชาย-หัวใจหญิงที่จะพูดถึงนั้นเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งในที่นี้หมายถึง โรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย ผมไม่อยากจะบอกให้เสียใจ แต่ก็ต้องบอกว่า ล่าสุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวมีผู้หญิงเสียชีวิตด้วยโรคดังกล่าว โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าปีละ 5 แสนคน ซึ่งนั้นมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากสาเหตุอื่นๆ อีก 7 สาเหตุรวมกันเสียอีก และแน่นอนว่าจำนวนการเสียชีวิตมากกว่าผู้ชายอีกด้วย ผมหาเรื่องคำนวณตัวเลขออกมาให้ใจเสียมากยิ่งขึ้นไปอีกคือ มีผู้หญิงเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ตกประมาณนาทีละ 1 คน ผู้หญิงอาจจะแก่ง่ายก็จริง แต่ไม่ได้อยากตายอย่างที่คุณพ่อบ้านทั้งหลาย (แอบ) คิดนะครับ และแม้ว่าทางการแพทย์สมัยใหม่จะส่งผลให้การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจมีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ตาม พูดง่ายๆ คือ รักษาแล้วหายมากขึ้น เสียชีวิตน้อยลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับในอดีต แต่ผู้ที่รอดชีวิตส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นผู้ชาย ในขณะที่แม้จะได้รับการรักษาแบบเดียวกัน อัตราการเสียชีวิตของผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจก็ลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผู้หญิงมีข้อเสียเปรียบที่เป็นผลต่อเนื่องมาจากความเชื่อยุคการแพทย์แผนโบราณที่ว่า โรคหลอดเหลือดหัวใจเป็นโรคของผู้ชาย ไม่ใช่ของผู้หญิง ที่ผ่านมาผู้หญิงที่ทำท่าจะมีอาการของโรคหัวใจจึงมักถูกมองว่า “โอ๊ย…ผู้หญิงเขาไม่เป็นกันหรอก โรค (หลอดเลือด) หัวใจน่ะ สำออยละไม่ว่า” โชคดีที่ความเชื่อนี้ค่อยๆจางลงตามกาลเวลา แต่ก็ยังส่งผลระยะยาวเหตุเพราะข้อมูลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและรักษาโรคดังกล่าว […]Read More
เรื่อง: นายแพทย์พงศ์ภากร ศรธนะรัตน์ – แพทย์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย สวนสุขภาพอรุณสหคลินิก จริงอยู่ที่กลไกภายในร่างกายของคนเราเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์และมีความซับซ้อนยิ่งนัก โดยเฉพาะ “สมอง” ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมสำคัญที่ควบคุมอวัยวะทุกส่วนภายในร่างกาย หรือหากเรียกให้เห็นภาพยิ่งขึ้นก็คือ หอบังคับการ เราดีๆ นี่เอง ที่สำคัญเป็นส่วนที่บอบบางยิ่งนัก แม้จะระวังหมั่นค่อยตรวจเช็คแต่ก็เกิดผิดพลาดกับกลไกจุดนี้ของร่างกายได้เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องของ หลอดเลือดสมอง ใช่ครับ… ผมกำลังจะพามาทำความรู้จักกับเรื่อง โรคหลอดเลือดสมองกัน ซึ่ง กว่า 80% ของโรคนี้สามารถป้องกันได้” โรคหลอดเลือดสมองนั้นนับเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 2 ทั่วโลก และเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดของความพิการ รวมถึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีอีกด้วย การรักษาโรคหลอดเลือดสมองที่ดีที่สุด คือ การป้องกัน เนื่องจากเมื่อโรคนี้เกิดขึ้นแล้ว มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตหรือพิการ โอกาสที่จะฟื้นฟูให้ร่างกายเป็นปกตินั้นทำได้ยาก โดยเฉพาะหากโรคมีความรุนแรง-ได้รับการรักษาล่าช้า หรือผู้ป่วยมีโรคประจำตัวและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ คราวนี้เรามาเรียนรู้ถึงการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองกันครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายนะครับ เพราะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมในการปฏิบัติตัวอย่างมีวินัยของตัวเองครับ มาเริ่มกันด้วย ที่สำคัญที่สุดคือการรู้ทันอาการของโรคหลอดเลือดสมอง เช่น หน้าเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด ที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน ให้รีบโทรแจ้งฉุกเฉิน 1669 ทันที เพื่อรับการรักษาอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเสียชีวิต และความพิการที่จะเกิดขึ้นได้ […]Read More
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนทั่วโลก จนทำให้เราต่างมุ่งโฟกัสไปที่การรับมือเจ้าไว้รัสชนิดนี้ จนละเลยต่อสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพด้านอื่นๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ PM 2.5 หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่เมืองไทยต้องเผชิญทุกปี PM2.5 คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่าเส้นผมของคนเราถึง 20 เท่า เมื่อสูดหายใจเข้าไปจึงสามารถผ่านเข้าสู่ถุงลม ปอด และหลอดเลือดได้อย่างง่ายดาย โดยเบื้องต้นนั้นอาจส่งผลให้เกิดอาการไอจามหรือเป็นลมพิษ และอาจลุกลามจนเกิดโรคในระบบทางเดินหายใจได้ เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด ฯลฯ ในกรณีที่ได้้รับ PM2.5 ในปริมาณมากหรือติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้โรคเหล่านี้กำเริบร้ายแรงขึ้น เพราะฝุ่นพิษเหล่านี้จะสะสมในเนื้อเยื่อปอดทำให้การทำงานของปอดเสื่อมลงและเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคมะเร็งปอดได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ทำให้ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ สำหรับแนวทางการป้องกันฝุ่น PM2.5 ในเบื้องต้นเมื่อต้องออกนอกบ้าน คือการหน้ากากป้องกันฝุ่นละอองมาตรฐาน N95 ที่สามารถดักจับฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM2.5 ได้ หรือใช้หน้ากากอนามัยแบบธรรมดาซ้อนทับด้วยกระดาษทิชชู่ 2 ชั้น ก็สามารถป้องกันได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ในกรณีที่บ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการมี PM2.5 สิ่งที่ควรทำคือ การปิดประตูหน้าต่างให้สนิทเพื่อป้องกันฝุ่นเข้าสู่ตัวบ้าน สามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นลงได้ และให้งดทำกิจกรรมภายนอกอาคารในช่วงที่มีปริมาณฝุ่นมาก ดูแลความสะอาดเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ ระบบปรับอากาศและแผ่นกรองอากาศที่ได้รับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอจะสามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากอาคารที่มีการเปิดปิดประตูบ่อยครั้งอาจเป็นช่องทางให้ฝุ่น […]Read More
วรรคทองที่โดนใจสาว ๆ ทุกวัยอย่างที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับไม่ใช่แค่มิติทางสังคมเท่านั้นที่ผู้หญิงอาจใช้ชีวิตได้ยากกว่าผู้ชาย เพราะในแวดวงการแพทย์ก็ยังเป็นที่ยอมรับเช่นกันว่าร่างกายผู้หญิงนั้นซับซ้อนและดูแลยากกว่าผู้ชายหลายเท่า และหนึ่งในโรคที่มักพบในหมู่สาว ๆ และดูจะเป็นเรื่องไกลตัวของหนุ่ม ๆ จนแทบไม่มีใครเคยนึกถึงก็คือ มะเร็งเต้านม สาเหตุที่ยากจะฟันธงของมะเร็งเต้านมสาเหตุที่แน่ชัดของโรคมะเร็งส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่องที่การแพทย์ยังไม่สามารถระบุแบบเฉพาะเจาะจงได้ 100% ซึ่งมะเร็งเต้านมก็เช่นกัน “แต่เราสามารถอธิบายถึงปัจจัยบางข้อที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านได้” ผศ.นพ.ธงชัย ศุกรโยธิน ศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านมะเร็งเต้านม ศูนย์เต้านม โรงพยาบาลวิมุต อธิบาย “เราอาจแบ่งปัจจัยเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) ปัจจัยภายในของตัวผู้ป่วย ซึ่งก็อย่างที่ทราบกัน คือเพศหญิงมีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าเพศชาย เพราะพบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่เป็นผู้ชายเพียง 1% ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่เท่านั้น นอกจากนี้ก็มีปัจจัยด้านอายุที่เพิ่มขึ้น เพราะโอกาสที่จะเกิด Genetic Damage หรือการกลายพันธุ์ของสารพันธุกรรมในร่างกายมีมากขึ้น ซึ่งร่างกายก็ไม่สามารถซ่อมแซมความเสียหายได้ดีเหมือนตอนอายุน้อย ๆ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องประวัติมะเร็งในครอบครัว สถิติชี้ว่ามะเร็งเต้านม 5-10% มาจากกรรมพันธุ์ซึ่งเกิดจากยีนผิดปกติที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก รวมถึงเรื่องของเชื้อชาติ โดยผู้หญิงผิวขาวมีแนวโน้มเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงผิวดำและผู้หญิงเอเชีย” 2) ปัจจัยภายนอกทั้งจากการพฤติกรรมและอื่น ๆ อาทิ โรคอ้วน โดยเซลล์ไขมันสร้างเอสโตรเจน ซึ่งเอสโตรเจนสามารถทำให้มะเร็งเต้านมที่มีตัวรับฮอร์โมนเป็นบวกพัฒนาและเติบโตได้ รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ นอกจากนี้ การใช้ฮอร์โมนทดแทนในหญิงวัยหมดประจำเดือนก็อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน” อาการของมะเร็งเต้านมเป็นอย่างไร?อาการของมะเร็งเต้านมมีหลายอย่าง ซึ่งในหลายเคสที่เป็นแล้วก็ยังไม่มีอาการที่ชัดเจน ส่วนอาการอื่น […]Read More
แน่นอนว่าการออกกำลังกายนั้นเป็นเรื่องที่ดี และนับว่าเป็นการลงทุนกับสุขภาพของตัวเองที่คุ้มค่า แต่การออกกำลังกายมากจนเกินไปนั้นก็อาจส่งผลเสียต่อร่างการและสุขภาพได้เช่นกัน เพราะการออกกำลังกายที่หนักเกินไปจะส่งผลโดยตรงให้เอ็น กล้ามเนื้อ และข้อต่อต่าง ๆ เกิดการบาดเจ็บด้ จนทำให้เกิดอาการเอ็นอักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ ฯลฯ ตามมา และในบางกรณีอาจถึงขึ้นภาวะหัวใจล้มเหลว ดังนั้นนสายเฮลท์ตี้ทั้งหลายต้องค่อยระมัดระวังและสังเกตให้ดีว่าช่วงไหนที่ร่างกายเริ่มส่งเสียงเตือนว่าหักโหมกับการออกกำลังมากไปแล้วบ้าง เริ่มจาก ปวดเมื่อยทั้งตัวตลอดเวลา ซึ่งเกิดจากการออกกำลังกายกล้ามเนื้อส่วนเดิมซ้ำๆ นานเกินไป โดยอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 2 – 3 ชั่วโมงหรือ 12 ชั่วโมงหลังการออกกำลังกาย และอาจนานถึง 2 วัน ดังนั้นจึงควรเปลี่ยนไปเน้นที่กล้ามเนื้อส่วนอื่นด้วย เช่น ถ้าปวดขาจากการวิ่ง ก็ลองเปลี่ยนไปออกกำลังที่แขนหรือไหล่บ้าง อีกทั้งใช้วิธีช่วยลดการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อร่วมด้วย เช่น ดื่มชาเขียว ใช้แผ่นประคบร้อน เจลบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ และการพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นต้น รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา อาการนี้จะรู้สึกเหมือนไม่สบายแต่ก็ไม่ได้ป่วย และนี่อาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าออกกำลังกายหนักเกินไปแล้ว และเกิดจากการพักผ่อนไม่เหมาะสมบ่อย ๆ หลังออกกำลังกายจึงทำให้รู้สึกหมดแรง ไม่มีสมาธิ และอาจเกิดอันตรายได้ ดังนั้นควรเน้นเรื่องการพักผ่อนให้เพียงพอหลังออกกำลังกายและการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมก่อนออกกำลังกายทั้งประเภทอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนสูง อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบกับคนในโซเชียลที่มีการแชร์ผลการออกกำลังกายกัน จากแอปพลิเคชันติดตามการออกกำลังกาย ที่อาจทำให้เกิดอาการวิตกกังวลและผิดหวังหากพัฒนาได้ไม่เร็วเท่าเพื่อน วิธีที่ดีที่สุดคือการทำความเข้าใจว่าการออกกำลังกายก็เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเอง ไม่ใช่เพื่ออวดคนในโซเชียล ในขณะที่บางครั้งการออกกำลังกายหนักเกินไป […]Read More
“เรารู้กันดีว่าเรื่องบนเตียง มักแบ่งเป็น 2 ฝ่ายเสมอ แต่ทั้ง ๆ ที่ตกลงเริ่มกิจกรรมนี้ด้วยกัน แต่ทำไมความสุขที่พวกเขาได้รับกลับไม่เท่ากัน? โดย 86% ตอกย้ำว่าอยากให้คู่ของเธอเล้าโลมมากขึ้น และมากกว่า 72% ของผู้หญิงไม่ฟินกับเซ็กส์เท่าที่ให้ และ 57% ของผู้หญิงแกล้งถึงจุดสุดยอดขณะมีเซ็กส์” นับเป็นเสียงสะท้อนเล็กๆ ที่ทำให้เห็นถึงปัญหาเรื่องบนเตียงที่ถูกมองข้ามโดยไม่รู้ตัวและกลายเป็นปัญหาใหญ่ในความสัมพันธ์ ได้ในที่สุด เมื่อพูดถึง “ความไม่เท่าเทียม” คุณนึกถึงอะไร? ความไม่เท่าเทียมเรื่องเพศ ฐานะ หรือสังคม? แต่รู้หรือไม่ยังมีเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหามาตลอด แต่กลับไม่ได้รับการพูดถึงมาก นั่นก็คือ “ความสุขที่ไม่เท่าเทียมเรื่องเซ็กส์” โดย ดูเร็กซ์ “Durex” ได้รวบรวมผลการศึกษาและสำรวจความพึงพอใจกับเรื่องเซ็กส์และกิจกรรมบนเตียงของกลุ่มตัวอย่างคนไทยกว่า 500 คน ระหว่างช่วงอายุ 18-35 ปี พบว่า “ความสัมพันธ์และกิจกรรมบนเตียงนับเป็นเรื่องที่กระชับความสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังมีความต้องการบางเรื่องที่สามารถพัฒนาความสุขเพิ่มขึ้นได้ โดยพบว่า ผู้หญิงกว่า 86% ต้องการให้อีกฝ่ายสร้างบรรยากาศ และกระตุ้นอารมณ์ ผ่านการเล้าโลมเพื่อเพิ่มความสุขก่อนเริ่มกิจกรรมบนเตียงมากขึ้น และมากกว่า 90% ของผู้หญิงมีความสุขมากขึ้นจากการตอบสนองความต้องการของอีกฝ่าย สิ่งนี้ชี้วัดให้เห็นว่าเรื่องเล็กๆ อย่างการสร้างความรู้สึกร่วมและการกระตุ้นความสุขก่อนเริ่มทำกิจกรรมเป็นสิ่งสำคัญและควรให้ความใส่ใจมากกว่าขึ้น โดยผลการสำรวจยังพบประเด็นที่น่าตกใจว่า คนไทยส่วนมากแกล้งถึงจุดสุดยอดเพื่อให้อีกฝ่ายพึงพอใจ […]Read More
มลพิษทางเสียง หรือ Noise Pollution เป็นปัญหาที่แฝงอยู่ในสังคมไทยมาอย่างช้านาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงในสังคมเมือง ทั้งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และเสียงที่เกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่อาจทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดเสียงรบกวน หรือมลพิษทางเสียงได้ ซึ่งเสียงนั้นสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตของมนุษย์ได้ ดังนั้นถ้าเรามีมีความรู้เกี่ยวกับเสียงรบกวนที่ถูกต้อง และตระหนักถึงความสำคัญของเสียง พร้อมที่จะป้องกัน และแก้ไขมลพิษทางเสียงร่วมกัน เสียงก็จะเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้น ผศ. ดร.ณัชนันท์ ชิตานนท์ ผู้ช่วยคณบดีวิทยาลัยวิศวกรรมสังคีต สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดเผยว่าตามคำแนะนำของกรมควบคุมมลพิษ ระดับเสียงที่ปลอดภัยต่อหูในการรับเสียงต่อเนื่องไม่เกิน 24 ชั่วโมงนั้นไม่ควรเกิน 70 เดซิเบลเอ (dBA)และองค์การอนามัยโลก หรือ WHO แนะนำว่าเสียงที่ได้ยินต่อเนื่องนาน 8 ชั่วโมง ไม่ควรเกินที่ระดับ 85 เดซิเบล เอ (dBA) และระดับเสียงที่ต้องหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่งคือระดับความดังของเสียงตั้งแต่ 120 เดซิเบล เอ (dBA) เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อหูโดยตรง ทำให้สูญเสียการฟังอย่างถาวรได้ โดยความดังของเสียงในแต่ละระดับจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป อาทิ เสียงพูดโดยปกติทั่วไปของคนเราจะอยู่ที่ 50 – 60 เดซิเบล เอ […]Read More
โรงพยาบาลวิมุต (ViMUT) โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำใจกลางกรุงเทพฯ เดินเกมรุกตลาดบริการสุขภาพเต็มที่ ตอกย้ำวิสัยทัศน์สู่การเป็น“โรงพยาบาลแบบองค์รวม” เพื่อมอบบริการทางการแพทย์แบบครอบคลุม พร้อมรองรับตลาดบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย ในยุคที่เมืองไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ ด้วยการเปิดตัวViMUT Life Link บริการแจ้งเตือนและช่วยเหลือฉุกเฉินจากบ้าน ตอบโจทย์ครอบครัวสมัยใหม่ที่ทุกคนต้องออกไปทำงานนอกบ้าน เสมือนมีแพทย์และพยาบาลคอยดูแลผู้สูงวัยตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยค่าบริการเฉลี่ยเพียงเดือนละพันกว่าบาท มั่นใจได้รับความนิยมในกลุ่มคนเมืองที่ต้องการดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน นพ.สันติ เอื้อนรเศรษฐ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า “เราจะเร่งขยายระบบนิเวศการดำเนินงานทางด้านการแพทย์ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพของสังคมไทย ที่จะมีเครือข่ายทั้งคลินิก ศูนย์กายภาพ ศูนย์ดูแลและบริบาลผู้สูงวัย รวมถึงบริการดูแลสุขภาพถึงบ้าน (Health to home) เพื่อสร้างชุมชนให้น่าอยู่และตอบสนองการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคมปัจจุบันได้อย่างครอบคลุม เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันที่ทั่วโลกกำลังเข้าสู่สถานการณ์ผู้สูงวัยที่จะมาพร้อมกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังจำนวนมาก เราจึงมุ่งยกระดับสู่การเป็นโรงพยาบาลแบบองค์รวม เพื่อจับฐานลูกค้าสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยบริการทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพแบบครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การส่งเสริมสุขภาพ ครอบคลุมถึงการวินิจฉัยโรค การบําบัด และการปรับพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดี ” “นอกจากนี้ โรงพยาบาลวิมุตยังยกระดับความร่วมมือกับโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาล บริษัทประกัน และสถาบันองค์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้วิทยาการทางการแพทย์ของเราก้าวหน้า ส่งผลถึงการพัฒนาบุคลากรที่ช่วยให้การกระจายตัวของบริการเป็นไปได้อย่างทั่วถึง” นพ.สันติ เอื้อนรเศรษฐ์ กล่าว ฝ่าย นพ. […]Read More
ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเอ่ยถึงคำว่า “รวย” ผู้คนส่วนใหญ่มักนึกถึงคนที่มีทรัพย์สินมาก หรือพูดง่ายๆ คือคนที่มีเงินหรือมีทรัพย์สินเยอะ ในขณะที่ความมั่งคั่งนั้น ถ้ามองกันให้ลึก ๆ แล้ว จะเป็นภาพที่กว้างกว่าและครอบคลุมมากกว่าเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง หลายครั้งมุมมองที่เกี่ยวข้องกับความมั่งคั่ง ผนวกรวมไปทั้งเรื่องทรัพย์สิน สุขภาพ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือครอบครัว คุณค่าของตัวเรา และทัศนคติของผู้นั้น ที่มีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งทำให้ผู้นั้นมีความสุข ดังนั้น หากกล่าวรวม ๆ แล้วจะเห็นว่าคนที่มั่งคั่งนอกจากเป็นคนที่มีทรัพย์สินมากพอที่จะใช้ได้อย่างไม่ขัดสนแล้วยังรวมถึงการมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง เป็นคนที่ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นเสมอ และมีเวลามากพอที่จะทำอะไรก็ได้อย่างที่อยากทำโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งความมั่งคั่งนี่เองอาจมองได้ว่าเป็นภาพรวมของชีวิตที่มีความสุข แม้ว่าเงินจะเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยตั้งคำถาม หรือวางแผนว่า เมื่อถึงชวงอายุหนึ่งแล้วจะต้องมีเงินทองหรือทรัพย์สินเท่าไรในการเลี้ยงชีพ เช่น เมื่ออายุเข้าสู่สัย 50 ปี 60 ปี 70 ปี จนเลยไปถึง80 ปี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างมากในการกำหนดแผนงานหรือแนวทางในการสร้างการออมให้กับตัวเอง สุขภาพ…. ปัจจัยสำคัญแห่งความมั่งคั่ง ธรรมชาติได้ออกแบบมาให้ร่างกายของมนุษย์ มีการเคลื่อนไหวในหลากหลายอิริยาบถอย่างสม่ำเสมอ การขยับร่างกายน้อยเกินไป ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ กล้ามเนื้ออักเสบ ภาวะไขมัน และน้ำตาลในเส้นเลือดสูง […]Read More
หากนิยามความเป็นนายแพทย์ โอฬาริก มุสิกวงศ์ สามคำนี้คงเหมาะที่สุด เพราะสำหรับคุณหมอหนุ่มคนรุ่นใหม่วัยเลข 4 ต้นๆ ท่านนี้ ไม่ได้มองการจับมีดผ่าตัด เป็นแค่เครื่องมือรักษาผู้ป่วย แต่เขามองไกลไปยิ่งกว่า คือทำอย่างไรจะสกัดกั้นหรือลดความเจ็บป่วยของผู้คน ก่อนที่จะเกิดโรคหรืออาการเจ็บป่วยขึ้น เพื่อจะได้ไม่มีคนไข้มาหาหมออย่างเขาด้วยความคิดเช่นนี้จึงเป็นแรงผลักให้ นพ.โอฬาริก หรือ หมอโอ ที่คนไข้เรียกกันจนติดปาก ไม่หยุดอยู่แค่การทำหน้าที่แพทย์ แต่จุดประกายให้คิดนอกกรอบบูรณาการหลายๆ หนทาง หันไปสวมบทบาทนักการศึกษา, นักพัฒนา Health Tech, ไปจนถึงการเป็นนักพัฒนาเมือง เพื่อหวังยกระดับคุณภาพชีวิต ให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดี จากตำแหน่งงานที่คุณหมอโอเข้าไปมีส่วนร่วมหลากหลายองค์กร ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่หลักอย่าง สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรและเป็นตัวตั้งตัวตีโครงการรณรงค์ท้องไม่พร้อม และอีกหลากหลายโครงการ ไปจนถึงบทบาทประธานแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพของแผนกสูติกรรม จังหวัดปราจีนบุรี, ประธานคณะอนุกรรมการการศึกษา ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย, คณะกรรมการการศึกษาต่อเนื่องของแพทย์ประเทศไทย, ที่ปรึกษาโครงการดิจิทัลฟอร์ไทยของเอไอเอส, ที่ปรึกษาสมาคม Health Tech Startup ประเทศไทย และยังไม่รวมตำแหน่งในองค์กรต่างประเทศการพาตัวเองเดินไปบนเส้นทางที่เหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน แต่คุณหมอโอบอกว่าทุกบทบาทเกิดขึ้นจากแก่นแท้เพียงเรื่องเดียว คือ ทำอย่างไรให้คนสุขภาพดี ไม่ต้องมาเจ็บป่วยที่โรงพยาบาล นั่นหมายถึงการยกระดับการดูแลความเป็นอยู่ด้านสุขภาพที่ดี (Healthcare) “หลังจบด้านสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา มหาวิทยาลัยขอนแก่น จากนั้นไปต่อเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ มหาวิทยาลัยมหิดล […]Read More