หรือจะเป็นผู้ฆ่า Netflix เมื่อดิสนีย์เปิดตัวบริการสตรีมมิงอัดแน่นคอนเทนต์สุดปัง พร้อมให้บริการปลายปีนี้
Disney+ จะเปรียบเสมือนคลังขนาดใหญ่ของหนังและรายการโทรทัศน์เก่าของดิสนีย์ รวมถึงผลงานจาก Marvel, Pixar, Star War พร้อมด้วยภาพยนตร์และซีรีส์ใหม่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อบริการสตรีมมิงโดยเฉพาะ
Reasons to Read
- Disney+ จะเปรียบเสมือนคลังขนาดใหญ่ของหนังและรายการโทรทัศน์เก่าของดิสนีย์ รวมถึงผลงานจาก Marvel, Pixar, Star War พร้อมด้วยภาพยนตร์และซีรีส์ใหม่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อบริการสตรีมมิงโดยเฉพาะ
- ดิสนีย์บอกกับนักลงทุนว่า คาดว่าจะมีสมาชิก 60 ล้านถึง 90 ล้านคนทั่วโลก ภายในสิ้นปี 2567
- ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ผู้ฆ่าเน็ตฟลิกซ์’ นำมาซึ่งคำถามถึง ‘รีด แฮสติงส์’ (Reed Hastings) ผู้ก่อตั้ง Netflix ว่าควรจะกังวลต่อสถารการณ์นี้หรือไม่
ก่อนหน้านี้ดิสนีย์ (Disney) ได้พูดถึงแผนการสร้างบริการสตรีมมิงของตัวเองในรูปแบบเดียวกันกับเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนปี 2560 แต่มีการเปิดเผยรายละเอียดที่สำคัญน้อยมาก
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าดิสนีย์พร้อมแล้วจริงๆ สำหรับการให้บริการสตรีมมิงในชื่อ ‘ดิสนีย์พลัส’ (Disney+) ซึ่งจะเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 12 พฤศจิกายนปีนี้ ด้วยราคา 7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน หรือราวๆ 220 บาท (ราคามาตรฐานของ Netflix ปัจจุบันอยู่ที่เดือนละ 280 บาท และสูงสุด 420 บาท)
Disney+ จะเปรียบเสมือนคลังขนาดใหญ่ของหนังและรายการโทรทัศน์เก่าของดิสนีย์ รวมถึงผลงานจาก Marvel, Pixar, Star War พร้อมด้วยภาพยนตร์และซีรีส์ใหม่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อบริการสตรีมมิงโดยเฉพาะ ให้บริการแบบไม่มีโฆษณาใดๆ และจะอนุญาตให้สมาชิกดาวน์โหลดทุกสิ่งอย่างไว้ดูแบบออฟไลน์ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
ตัวอย่างคอนเทนต์ที่จะเปิดให้บริการบน Disney+ ได้แก่ ซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวเจาะลึกของซูเปอร์ฮีโร่อย่าง The Falcon and The Winter Soldier, Wanda, Vision, Loki รวมถึงสารคดีการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชัน Into the Unknown: Making Frozen 2 เป็นต้น
ในอีเวนต์เปิดตัวบริการ Disney+ ดิสนีย์บอกกับนักลงทุนว่า คาดว่าจะมีสมาชิก 60 ล้านถึง 90 ล้านคนทั่วโลก ภายในสิ้นปี 2567 (ปัจจุบันเน็ตฟลิกซ์มีสมาชิกจำนวน 139 ล้านราย)
ทั้งนี้ ดิสนีย์ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดในหลายๆ เรื่อง และบางเรื่องก็จะยังไม่ได้รับคำตอบในเร็วๆ นี้ เช่น ดิสนีย์วางแผนที่จะเผยแพร่บริการผ่านแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตขนาดใหญ่อย่าง Amazon และ Apple หรือไม่
รวมถึงวิธีการที่ดิสนีย์จะรวมการให้บริการสตรีมมิงอย่าง Hulu และ ESPN ไว้ด้วย แม้ว่า ‘เควิน เมเยอร์’ (Kevin Mayer) ผู้บริหารดิสนีย์ที่ดูแลบริการสตรีมมิงจะกล่าวว่า บริษัทน่าจะรวมบริการดังกล่าวไว้ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็ถือว่าเป็นข้อเสนอที่ตรงไปตรงมาสำหรับผู้บริโภคและนักลงทุนในการพิจารณา ราคา 7 ดอลลาร์ฯ ต่อเดือน ถือว่าคุ้มค่ากับการได้เข้าถึงคอนเทนต์ทั้งเก่าและใหม่ของดิสนีย์ และด้วยราคาที่ไม่สูงนักรวมไปถึงคอนเทนต์ที่ครองใจผู้ชมทั่วโลกมาเป็นเวลานาน ทำให้ Disney+ ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ผู้ฆ่าเน็ตฟลิกซ์’ นำมาซึ่งคำถามถึง ‘รีด แฮสติงส์’ (Reed Hastings) ผู้ก่อตั้ง Netflix ว่าควรจะกังวลต่อสถารการณ์นี้หรือไม่
คำตอบคือ ‘ไม่เลย’ เหตุผลง่ายๆ ก็คือคำว่า ‘ผู้ฆ่า’ มันมีความหมายในเชิงที่ว่า ในการต่อสู้ต้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะสามารถอยู่รอดได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดสตรีมมิง
ในความเป็นจริงแล้ว มีการทับซ้อนกันระหว่างสมาชิกของบริการสตรีมมิงอย่าง Netflix, Hulu, Amazon Prime และ HBO Now โดยจากการวิจัยของบริษัท Parks Associates (บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านการตลาดที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลซึ่งเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภค) เมื่อปลายปีที่แล้วพบว่า 36% ของครัวเรือนบรอดแบนด์ในสหรัฐอเมริกา สมัครรับบริการสตรีมมิงวิดีโอสองรายการขึ้นไป
และคนส่วนใหญ่ไม่ได้ดูบริการวิดีโอใหม่อย่าง Disney+ แล้วถามตัวเองว่า “ควรยกเลิก Netflix และเลือกสมัครบริการนี้เพียงอย่างเดียวหรือไม่?”
อย่างที่บอกไปแล้วว่า ปัจจุบัน Netflix มีสมาชิก 139 ล้านรายทั่วโลก ถือว่าเป็นตัวเลขที่ทิ้งห่างผู้ให้บริการสตรีมมิงรายอื่นๆ ณ ขณะนี้ เพราะฉะนั้น การต่อสู้ที่แท้จริงจึงเป็นการต่อสู้ของบริการที่จะขึ้นมาเป็นอันดับ 2-4 และนั่นหมายความว่าในขณะที่ Netflix ไม่ควรมองว่า Disney+ เป็นภัยคุกคาม แต่บริการอื่นๆ ต่างหากที่ควรจะต้องกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการที่ยังไม่ได้เปิดตัว