fbpx

4 ภารกิจผลักดันและพลิกโฉมศิลปหัตถกรรมไทย เป็นฮับศิลปหัตถกรรมแห่งอาเซียน

มรดกทางภูมิปัญญา

เมื่อ  “SACIT” เปิด 4 ภารกิจผลักดันและพลิกโฉมศิลปหัตถกรรมไทย พลิกงานใกล้สูญหาย สู่งานมรดกทางภูมิปัญญา พร้อมเตรียมดันไทยเป็นฮับศิลปหัตถกรรมแห่งอาเซียน โดยตั้งเป้าขยายตลาดไทย – ต่างประเทศ พร้อมชูโปรเจ็กต์เรือธงหนุนงานหัตถศิลป์ที่คิดถึง งานนี้ GM Live บอกได้เลยว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ SACIT (Sustainable Arts and Crafts Institute of Thailand) เดินหน้าภารกิจการสืบสาน สร้างสรรค์ ส่งเสริมงานศิลปหัตถกรรมในทุกมิติ พร้อมเผยแนวทางยกระดับศิลปหัตถกรรมไทยภายใต้การดำเนินงาน 4 มิติ ได้แก่

  • การรักษางานศิลปหัตถกรรมที่ใกล้สูญหายด้วยแนวคิดหัตถศิลป์ที่คิดถึง
  • การมุ่งเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • การยกระดับงานคราฟต์ผ่านเครือข่ายพันธมิตร
  • การสร้างองค์กรแห่งความสุข

นอกจากนี้ ยังมีการทำงานเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมเปิดอีเวนต์ครั้งยิ่งใหญ่ ในงาน “SACIT Symposium 2025”  และ “Crafts Bangkok 2025” เพื่อยกระดับงานคราฟต์ไทยสู่เวทีนานาชาติ การส่งเสริมช่องทางการตลาดแก่ผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรม และเตรียมความพร้อมสู่การเป็นฮับด้านงานศิลปหัตถกรรมในภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งยังตั้งเป้าตั้งเป้าขยายฐานการตลาดส่งออกต่างประเทศ สู่ภูมิภาคตะวันออกกลางในปี 2568 นี้ พร้อมนำร่องด้วยโครงการ “SACIT for Middle East” เพื่อศึกษาโอกาสการเข้าถึงช่องทางตลาดต่างประเทศแบบเชิงรุก

ทั้งนี้ ผศ.ดร.อนุชา ทีรคานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย เปิดเผยว่า SACIT มุ่งการส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยในปี 2568 ด้วยนโยบาย สืบสาน สร้างสรรค์ ส่งเสริม เพื่อยกระดับงานศิลปหัตถกรรมในทุกมิติ โดยการสืบสาน มุ่งการอนุรักษ์งานงานคราฟต์ดั้งเดิมที่กำลังเลือนหายไป เพื่อให้ยังคงอยู่ในตลาด และในวิถีชีวิตของคนไทย และมีความสอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ขณะที่สร้างสรรค์ เป็นการทำให้  งานคราฟต์มีความร่วมสมัยผ่านการออกแบบ รูปลักษณ์ การคัดเลือกนำวัสดุมาใช้ให้เหมาะสม ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริม การสร้างการรับรู้ในงานศิลปหัตถกรรม ถ่ายทอดองค์ความรู้ และจัดการวัฒนธรรมศิลปหัตถกรรม เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนในทุกเจเนอเรชั่นเกิดความชื่นชอบและใช้ผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทยเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมด้านการตลาดผ่านการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมให้แพร่หลาย และเพิ่มโอกาสทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ

อีกทั้งเพื่อให้งานศิลปหัตถกรรมไทยเกิดการเปลี่ยนที่เป็นรูปธรรม SACIT จึงมีการดำเนินงานใน 4 มิติ โดยมิติแรกคือ “หัตถศิลป์ที่คิดถึง” ซึ่งปี 2568 นี้ จะเน้นสร้างความตระหนักถึงกลุ่มงานหัตถศิลป์ประเภทเครื่องรัก-เครื่องมุก และงานหัตถศิลป์ล้านนาประเภทเครื่องเขินซึ่งปัจจุบันนับว่าเป็นงานศิลปหัตถกรรมที่ใกล้สูญหาย เหลือครูผู้สร้างสรรค์น้อยราย 

ซึ่ง SACIT จะมีการสืบสานทั้งในด้านองค์ความรู้ วัตถุดิบ ทักษะเชิงช่างหัตถกรรม และยังมองภาพใหญ่ในแง่มุมของการเชื่อมโยงองค์ความรู้ร่วมกันของทั้งไทยและต่างประเทศ จึงเป็นที่มาของการเตรียมเปิดงานประชุมวิชาการด้านศิลปหัตถกรรมครั้งที่ 1 “SACIT Symposium 2025” ภายใต้แนวคิด “Crafting Sustainability across ASEAN and Beyond” เวทีเพื่อการนำเสนอและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เชิงวิชาการ และนวัตกรรมเกี่ยวกับงานคราฟต์ รวมถึงผลงานการสร้างสรรค์สำหรับกลุ่มงานหัตถกรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์-สืบสาน นับเป็นหนึ่งในกระบวนการผลักดันงานศิลปหัตถกรรมไทยให้เติบโตและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทั้งไทยและต่างประเทศ โดยกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 8 – 9 สิงหาคม 2568 ณ สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)  อีกทั้งเปิดโอกาสให้กลุ่มคณาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา ครูช่างศิลปหัตถกรรม ประชาชนทั่วไปที่สนใจ รวมถึงเครือข่ายต่างประเทศสมาชิกอาเซียนและเอเซีย อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และอินเดีย  ได้มีส่วนร่วมนำเสนอและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ภายในงานฯ โดย SACIT มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดกิจกรรมในครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่นำพาประเทศไทยให้สามารถก้าวสู่การเป็นฮับด้านงานศิลปหัตถกรรมในภูมิภาคอาเซียนได้ต่อไปในอนาคต

ซึ่งการรังสรรค์งานหัตถศิลป์ไทยประเภทเครื่องรัก-เครื่องมุก ต้องอาศัยวัตถุดิบจากธรรมชาติดั้งเดิมอย่าง “ยางรัก” ซึ่งปัจจุบันนี้เริ่มกลายเป็นวัตถุดิบที่หายาก และยังต้องอาศัยการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และเพื่อเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงต่อการขาดแคลนวัตถุดิบดังกล่าวในอนาคต SACIT จึงได้ประสานความร่วมมือกับหลายภาคส่วนเพื่อร่วมสร้างความตระหนักต่อปัญหาสถานการณ์ดังกล่าว ในการฟื้นฟูและสนับสนุนการปลูก-เก็บเกี่ยว อนุรักษ์พันธุ์พืชที่ให้ยางรัก

โดย SACIT เล็งเห็นถึงโอกาสของการผลักดันกลุ่มพืชพันธุ์ไม้ที่ให้ยางรักสู่การเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทยต่อไปในอนาคต ซึ่งไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ในปีงบประมาณเดียว แต่ต้องอาศัยระยะเวลาอย่างน้อย 10 ปี ขึ้นไปเพื่อร่วมกันรณรงค์การสืบสานวัตถุดิบสำคัญอย่างยางรักให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทย และยังมุ่งเน้นการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังใส่ใจต่อเรื่องชุมชน สังคม รวมถึงกลุ่มคนผู้ผลิตงานหัตถศิลป์ไทยทั่วทุกภูมิภาคที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องของสุขภาพ จึงได้มีการจัดทำงานวิจัยด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงต่อสุขภาพของกลุ่มผู้ผลิตงานคราฟต์ โดยศึกษาถึงความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในการทำงานพร้อมหาแนวทางในการป้องกันและฟื้นฟู นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นในการส่งเสริมและขยายโอกาสให้กลุ่มคนหลากหลายสามารถเข้าถึงกระบวนการผลิต และการบริโภคงานคราฟต์ ทั้งในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางทั้งหลายที่มีศักยภาพ แต่ไม่ได้รับการเปิดโอกาส เช่น กลุ่มผู้ต้องขัง กลุ่มผู้สูงอายุในพื้นที่จังหวัดอยุธยาและบริเวณใกล้เคียง รวมถึงส่งเสริมกลุ่มครูช่างฯ และ สมาชิก SACIT ในกลุ่ม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อเปิดโอกาสให้นำเอาองค์ความรู้ ไปประกอบอาชีพในอนาคตได้ และสร้างอาชีพที่มีคุณค่า

อีกทั้งยังส่งเสริมเรื่องโอกาสช่องทางการตลาดโดยมุ่งพัฒนางานคราฟต์ภายใต้แนวคิด ESG ผ่านการเชื่อมโยงงานศิลปหัตถกรรมไทยให้สอดรับกับบริบททางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล อาทิ ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือการเชื่อมโยงเครือข่ายชุมชนหัตถกรรมเข้ากับภาคการท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดการสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงจากงานศิลปหัตถกรรม ผ่านการประสานความร่วมมือกับการท่าอากาศยาน โดยมีแผนการขยายพื้นที่รองรับผลิตภัณฑ์งานคราฟต์จากชุมชน เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าที่ระลึกที่มีความร่วมสมัย ณ บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ

 ในด้านการยกระดับงานคราฟต์ผ่านเครือข่ายพันธมิตร ที่ผ่านมา SACIT ได้มีการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงองค์ความรู้เพื่อร่วมพัฒนางานหัตถกรรมระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิ ประเทศเมียนมา จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น โดยปี 2567 ที่ผ่านมา สรุปรายงานการส่งออกผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย มูลค่าส่งออกรวม  379,198.64 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.34 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด คือ เครื่องเงิน เครื่องทอง และเพื่อเป็นการยกระดับงานศิลปหัตถกรรมไทยให้เป็นที่ประจักษ์สู่เวทีนานาชาติ ปี 2568 นี้ SACIT ยังได้ศึกษาโอกาสการเข้าถึงช่องทางตลาดต่างประเทศเชิงรุก โดยมีตลาดเป้าหมายเป็นกลุ่มประเทศศักยภาพ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง อาทิ ซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน คูเวต โอมาน การตาร์ สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ และเยเมน ทั้งนี้ จึงได้ริเริ่มโครงการ “SACIT for Middle East” โดยมีแผนการร่วมออกงานโรดโชว์ ในเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ถึงเสน่ห์ของผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์ไทย อาทิ งานเครื่องปั้นดินเผาที่มีเอกลักษณ์ และงานศิลป์ชั้นสูงอย่างเครื่องเบญจรงค์ ที่มีส่วนผสมของทองคำซึ่งตอบโจทย์ต่อรสนิยมของกลุ่มคนที่มีรายได้สูงในตลาดตะวันออกกลางที่ให้คุณค่ากับงานคราฟต์ที่มีความประณีต ให้กลิ่นไอความลักซ์ชัวรี ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวยังนำมาสู่การศึกษาคุณลักษณะ-แนวโน้มความต้องการของตลาดตลอดจนข้อจำกัดต่าง ๆ ในการนำเข้าสินค้าในตลาดตะวันออกกลาง เพื่อนำข้อมูลจากการสังเกตการณ์มาประกอบข้อมูลจากการวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ และขยายผลไปยังตลาดอื่น ๆ ต่อไป

 สำหรับบทบาทการส่งเสริมสร้างการรับรู้ในงานศิลปหัตถกรรมไทย SACIT ให้ความสำคัญกับการสร้าง Ecosystem ในงานศิลปหัตถกรรม เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายที่มีความชื่นชอบในงานหัตถศิลป์ไทย สอดคล้องกับภารกิจสำคัญในด้านการจัดการวัฒนธรรมศิลปหัตถกรรม กระตุ้น สร้างภาพจำให้คนไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เกิดความรัก ความชื่นชอบ ความหลงใหลในงานศิลปหัตถกรรมไทยเพิ่มมากขึ้น โดยได้มีการสื่อสาร ส่งต่อองค์ความรู้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล อาทิ Facebook, Instagram, X, Thread, TikTok, YouTube ฯลฯ  และถ่ายทอดองค์ความรู้ในรูปแบบคอนเทนต์ที่มีความหลากหลายตรงกับไลฟ์สไตล์การบริโภคสื่อของผู้คนในยุคปัจจุบัน รวมทั้งสื่อสารสร้างการรับรู้ในงานศิลปหัตถกรรมผ่านกลุ่ม Micro Influencer ที่มีผลต่อความชื่นชอบของกลุ่มคนรุ่นใหม่ สามารถสร้างแรงกระเพื่อม ผลักดันให้งานคราฟต์ไทยเป็นกระแส เกิดการรับรู้ และการยอมรับจากสาธารณชน

นอกจากการสื่อสาร SACIT มีการผลักดันตลาดงานคราฟต์ภายในประเทศ โดยเตรียมจัดงานแสดงและจำหน่ายงานคราฟต์ครั้งยิ่งใหญ่แห่งปีในงาน “Crafts Bangkok 2025” เพื่อส่งเสริมช่องทางการตลาดแก่ผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรม ควบคู่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากที่จะนำมาสู่การสร้างความยั่งยืนในงานศิลปหัตถกรรมไทย โดยจะรวบรวมงานคราฟต์ร่วมสมัยจากผลงานครู ทายาท สมาชิก และผลิตภัณฑ์หัตถกรรมไฮไลต์จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อาทิ ผ้าไหม ผ้าฝ้าย จักสานกระจูด ไม้แกะสลัก ผ้าปัก ผ้าชาวเขา และเครื่องปั้นดินเผา ทั้งยังเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่ปรับประยุกต์เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเพื่อตอบโจทย์เทรนด์ในยุคปัจจุบัน เช่น Craft Toy และงานคราฟต์หมวดหมู่อื่น ๆ ในจำนวนร้านค้ากว่า 300 คูหา โดยมีกำหนดการจัดงานระหว่างวันที่ 18 – 22 มิถุนายน 2568  ณ ฮอลล์ 5 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ทั้งนี้ยังให้ความสำคัญกับภารกิจการดำเนินกลยุทธ์เพื่อยกระดับงานคราฟต์ผ่านเครือข่ายพันธมิตร โดยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐทั้งในและต่างประเทศ อาทิ กระทรวงต่างประเทศ ผ่านการหารือร่วมกับสถานทูตไทยในต่างประเทศโดยมีแผนร่วมงาน Thai Festival 2025 เพื่อสร้างการตระหนักรับรู้ถึงงานหัตถศิลป์ไทยที่มีอัตลักษณ์ทรงคุณค่า ซึ่งเป็นโอกาสการเพิ่มพูนมูลค่าที่จะก่อให้เกิดโอกาสการสร้างรายได้สู่เศรษฐกิจไทยได้ในอนาคต อีกทั้งให้ความสำคัญกับการเจรจาการค้าเพื่อจับคู่ธุรกิจ และขยายโอกาสทางการค้ากับภาคเอกชน อาทิ จิม ทอมป์สัน กลุ่มธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ สยามพิวรรธน์ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม ตลอดจนหน่วยงานระดับโลกอย่างองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก อีกด้วย

 SACIT ตั้งเป้าสร้างองค์กรแห่งความสุข หรือองค์กรแห่งประสิทธิภาพ ซึ่งให้ความสำคัญต่อด้านการพัฒนาบุคลากร เพื่อส่งต่อความสุขจากการทำงานไปยังกลุ่มเป้าหมายและผู้ที่มีความเกี่ยวข้อง ในปีนี้จึงมีการพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาลอย่างเข้มข้น และยังมุ่งมั่นที่จะยกระดับสู่องค์กรดิจิทัลผลักดันให้เป็นองค์กรแห่งประสิทธิภาพได้ในที่สุด ติดตามข่าวสารของสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) ได้ที่เว็บไซต์ https://sacit.or.th/th  พร้อมลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมได้ทางเฟซบุ๊ก ออฟฟิเชียล SACIT  https://www.facebook.com/sacitofficial

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ