“กำแพงสังคมที่มองไม่เห็น” การตรวจคัดกรองวัณโรคในกลุ่มผู้ที่มีเชื้อ HIV
ชุดตรวจ Urine LAM จากฟูจิฟิล์ม ประเทศไทย

เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ที่ทางGM Live เห็นว่ามีประโยชน์ต่อสังคมอย่างมาก เมื่อฟูจิฟิล์ม ประเทศไทย ร่วมส่งเสริมการตรวจคัดกรองวัณโรคในกลุ่มผู้ที่มีเชื้อ HIVภายใต้แนวคิด “กำแพงสังคมที่มองไม่เห็น” ด้วยนวัตกรรมชุดตรวจ Urine LAM ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างกรมควบคุมโรค กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และสำนักงานบริหารโครงการกองทุนโลก ซึ่งบ่งชี้ว่า “การตรวจคัดกรองวัณโรค” เป็นก้าวสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิตจากวัณโรคในผู้ที่มีเชื้อ HIV
ปัจจุบัน วัณโรคยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของผู้ที่มีเชื้อ HIV เนื่องจากผู้มีเชื้อ HIV จำนวนมากเข้าถึงระบบการดูแลรักษาช้าส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง จึงทำให้วัณโรคลุกลามขึ้นได้ง่าย ดังนั้นการตรวจคัดกรองวัณโรคในผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีถือเป็นกุญแจสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้

และนี้คือสิ่งที่ยังคงตอกย้ำความมุ่งมั่นในการส่งเสริมสุขภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สำหรับ ฟูจิฟิล์ม ประเทศไทย โดย มร. โซ มารูโอะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมส่งเสริมการตรวจคัดกรองวัณโรคในกลุ่มผู้ที่มีเชื้อ HIV ผ่านนวัตกรรมชุดตรวจ Urine LAM สำหรับหาแอนติเจนของเชื้อวัณโรคในปัสสาวะสำหรับผู้ที่มีเชื้อ HIV โดยการคัดกรองดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างกรมควบคุมโรค กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และสำนักงานบริหารโครงการกองทุนโลก ภายใต้แนวคิด “กำแพงสังคมที่มองไม่เห็น” มุ่งเน้นการเข้าถึงกลุ่มผู้ที่มีเชื้อ HIV ที่มีความเสี่ยงต่อวัณโรคสูง โดย ฟูจิฟิล์ม ได้สนับสนุนการบริจาคชุดตรวจ Urine LAM จำนวนทั้งหมด 300 ชุด โดย 200 ชุด มอบให้แก่กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และอีก 100 ชุด แก่สถาบันบำราศนราดูร

เพราะนวัตกรรมชุดตรวจ Urine LAM ช่วยบุคลากรทางการแพทย์ในการตรวจพบวัณโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งทำให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาได้อย่างทันท่วงทีและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนของวัณโรคผ่านการตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้น

โดยนายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์การติดเชื้อและเสียชีวิตจากวัณโรคในผู้ป่วย HIV ว่า “ข้อมูลการคาดการณ์จาก Thailand spectrum-AEM พบว่าในปี 2566 ประเทศไทยมีผู้ที่มีเชื้อ HIV รายใหม่ถึง 9,200 คน และมีผู้เสียชีวิตอันเนื่องจากเอดส์ทั้งสิ้น 12,072 คน โดยพบว่ามีสาเหตุหลักจากวัณโรค โดยผู้ที่มีเชื้อ HIV เสี่ยงต่อการป่วยเป็นวัณโรคมากกว่าคนทั่วไปถึง 20 เท่า นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคในหารตรวจหาเชื้อวัณโรคในผู้ที่มีเชื้อ HIV เนื่องจากอาจตรวจไม่พบความผิดปกติจากภาพถ่ายรังสี ดังนั้นชุดตรวจ Urine LAM นับเป็นเครื่องมือสำคัญ เพราะสามารถหาแอนติเจนของเชื้อวัณโรคในปัสสาวะ ชุดตรวจแบบรู้ผลเร็ว (Rapid Test) นี้ จะช่วยตัดวงจรของวัณโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ด้านนายแพทย์สุทัศน์ โชตนะพันธ์ ผู้อำนวยการ กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อธิบายถึงข้อดีของการใช้
ชุดตรวจ Urine LAM ในผู้ที่มีเชื้อ HIV เทียบกับการคัดกรองด้วยวิธีอื่น ๆ ว่า “ผู้ที่มีเชื้อ HIV บางรายมีปริมาณเม็ดเลือดขาวต่ำ ภูมิต้านทานต่ำ ส่งผลให้การวินิจฉัยวัณโรคด้วยวิธีปกติ เช่น การเอกซเรย์ทรวงอกหรือการตรวจเสมหะ อาจให้ผลคลาดเคลื่อนหรือไม่สามารถตรวจพบเชื้อได้ แต่ด้วยเทคโนโลยีใหม่อย่าง Urine LAM ซึ่งตรวจผ่านปัสสาวะ จะเข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพ ทั้งยังครอบคลุมกลุ่มผู้ที่มีเชื้อ HIV พร้อมช่วยขับเคลื่อนการคัดกรองที่ปลอดภัยและรวดเร็ว”

ทั้งนี้แพทย์หญิงผลิน กมลวัทน์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรคและผู้อำนวยการสำนักงานบริหารโครงการกองทุนโลก กล่าวถึงการดำเนินงานเพื่อร่วมยุติวัณโรคในประเทศไทยว่า “สำนักงานบริหารโครงการกองทุนโลก ดำเนินการจัดการเงินทุนที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนโลก (Global Fund) ซึ่งได้เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประเทศไทยมายาวนานกว่า 26 ปี เพื่อช่วยจัดการกับปัญหาโรคเอดส์ วัณโรค และไข้มาลาเรีย มุ่งหวังให้คนไทยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยจากโรคเหล่านี้ ในปัจจุบัน เรายังคงเดินหน้าช่วยเหลือผู้ป่วยวัณโรคภายใต้โครงการ END TB ด้วยเป้าหมายในการคัดกรองทั้งกลุ่มทั่วไปและกลุ่มผู้ที่มีเชื้อ HIV ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุด เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยกองทุนโลก ได้สนับสนุนการเข้าถึงการตรวจหาวัณโรคด้วยหลากหลายวิธีที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งช่วยลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ที่มีเชื้อ HIV”

ในส่วนนายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค เล่าถึงความรุนแรงของวัณโรคในผู้ที่มีเชื้อ HIV และความท้าทายในการตรวจหาโรคว่า “วัณโรคเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสูงสุดในผู้ที่มีเชื้อ HIV เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อ HIV จะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันค่อย ๆ ลดลง เนื่องจากไวรัสจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ส่งผลให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรค หรือในบางกรณี วัณโรคที่เคยแฝงอยู่ในร่างกายอาจกลับมาแสดงอาการอีกครั้ง วัณโรคจะแพร่กระจายได้มากขึ้นและมีอาการรุนแรงขึ้นในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยอาจลุกลามไปยังอวัยวะนอกปอด เช่น เยื่อหุ้มปอด ช่องท้อง ต่อมน้ำเหลือง หรือไขกระดูก”

ปกติในผู้ป่วยวัณโรคทั่วไป แพทย์จะวินิจฉัยผ่านการตรวจเสมหะ เอกซเรย์ปอด หรือใช้วิธีการย้อมสีและตรวจระดับโมเลกุลเพื่อหาเชื้อวัณโรค แต่ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีเชื้อ HIV การวินิจฉัยจะซับซ้อนขึ้นเนื่องจากเชื้อวัณโรคมักแพร่กระจายนอกปอด ทำให้โอกาสตรวจพบเชื้อในเสมหะลดลง ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำขึ้นคือการตรวจปัสสาวะ โดยในปัจจุบันมีการใช้สาร lipoarabinomannan (LAM) ในการตรวจคัดกรองวัณโรค โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็ว ดังนั้น การมีเครื่องมือที่ช่วยในการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำอย่าง Urine LAM จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยชีวิตผู้ป่วยกลุ่มนี้”

“สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ข้อบ่งใช้ในการตรวจหาวัณโรคด้วย Urine LAM ในผู้ที่มีเชื้อ HIV มีอยู่ 3 ข้อหลัก ได้แก่ 1) ในกรณีที่สงสัยว่าคนไข้เป็นวัณโรคหรือมีอาการของวัณโรค สามารถตรวจ Urine LAM เพื่อประกอบการวินิจฉัยได้ 2) ในกรณีที่ผู้ป่วยที่มีเชื้อ HIV และมีอาการป่วยรุนแรงด้วยสาเหตุ อาทิเช่น ไข้สูง หายใจเหนื่อย ชีพจรเต้นผิดปกติ กลุ่มนี้สามารถตรวจด้วย Urine LAM ได้ 3) ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้มีอาการตาม 2 ข้อที่กล่าวมา แต่มีปริมาณเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 น้อยกว่า 100 เซลล์ก็สามารถตรวจ Urine LAM ได้เช่นกัน” นายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ อธิบายถึงข้อบ่งใช้ Urine LAM ความร่วมมือระหว่างฟูจิฟิล์มและหน่วยงานสาธารณสุขไทยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการรับรู้ของสังคมเกี่ยวกับวัณโรค โดยฟูจิฟิล์ม เดินหน้าขับเคลื่อนการเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้การวินิจฉัยโรคเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำสะท้อนความมุ่งมั่นในการยกระดับวงการสาธารณสุขและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมไทย อันสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของฟูจิฟิล์มในการ ‘แต่งแต้มรอยยิ้มให้โลกของเรา’ และพร้อมเดินหน้าสนับสนุนโครงการเพื่อสังคมเพื่อยกระดับวงการสาธารณสุข ผ่านการรังสรรค์นวัตกรรมที่ช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมุ่งที่จะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองในการขับเคลื่อนภารกิจในการยุติวัณโรคภายในปี 2030 ของประเทศไทย
