‘จีนเทา:: อันตรายจากจีนแผ่นดินใหญ่ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง’

ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายเดือดร้อนให้กับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะในแง่ของการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ ไปจนถึงปัญหาสังคม ซึ่งในปัจจุบัน ปัญหา ‘จีนเทา’ ก็ดูจะยังคงทวีความร้ายแรง และซับซ้อนในการจัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแบบถอนรากถอนโคน
ในกรณีของ ‘ชิงชิง’ นักแสดงชาวจีนที่ถูกหลอกไปเป็นเหยื่อของแก๊งส์คอลเซ็นเตอร์ ก็ร้ายแรงมากพอที่ทางการไทยต้องรีบวิ่งกันจนหัวหมุน ประสานหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือ ซ้ำยังโดนทางการของจีนแผ่นดินใหญ่ บินมาไล่บี้กวดขันให้จัดการกันไม่หวาดไม่ไหว กลายเป็นความเสื่อมเสียของประเทศไทยครั้งสำคัญ
กระนั้นแล้ว การจะรู้จักจีนเทาที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ตอนนี้ เราอาจจะต้องทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไป และลักษณะการดำเนินงานของกลุ่มอาชญากรข้ามชาตินี้กันให้ดีเสียก่อน เพื่อให้เห็นภาพกว้างที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
กลุ่มจีนเทา หรือกลุ่มอาชญากรสัญชาติจีนนั้น ไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นกลุ่มคนที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย และเคยมีฐานปฏิบัติการณ์อยู่ในขอบเขตของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ไปจนถึงเขตเศรษฐกิจมาเก๊า ที่มีเม็ดเงินสะพัดเฟื่องฟูนอกระบบจากธุรกิจจำพวกการค้ามนุษย์ การพนัน การเปิดธนาคารเถื่อนรับฟอกเงิน และยาเสพติด เป็นต้น
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้เหล่าจีนเทาเริ่มขยับ เกิดขึ้นเมื่อทางการจีนแผ่นดินใหญ่ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ทำการกวาดล้างระดับประเทศอย่างจริงจัง ส่งผลให้กลุ่มอาชญากรรมได้รับผลกระทบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เมื่อฐานในประเทศประสบปัญหา ทางเลือกที่เหลืออยู่ของจีนเทา จึงเป็นการ ‘มุ่งหน้าลงมา’ ยังพื้นที่ที่ราบลุ่มน้ำโขง ชายแดนสามเหลี่ยมทองคำ และประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์ ที่ความเข้มงวดของการกวาดล้าง และธรรมาภิบาลของหน่วยงานภาครัฐยังเป็นที่ต้องกังขา
ประกอบกับการฝังตัวลงในพื้นที่ ‘คาบเกี่ยว’ ที่ยากที่ทางการจะดำเนินการอย่างจริงจังอย่างเช่นเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone) ไม่ว่าจะในประเทศอย่างประชาธิปไตยประชาชนลาว กัมพูชา หรือเขตรอยต่อระหว่างประเทศไทยกับเมียนมาร์ ที่ยากอย่างยิ่งที่ทางการจะดำเนินการกวาดล้างได้อย่างมีประสิทธิผล
เมื่อรวมทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกัน จึงไม่น่าแปลกใจนัก ที่การขยายตัวของกลุ่มทุนจีนสีเทาและธุรกิจผิดกฎหมาย จะเฟื่องฟูขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ ผสานกับการเดินทางเข้ามาของชาวจีนในประเทศแถบเอเชียอาคเนย์ที่มากขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ก็ยิ่งทำให้ยากที่จะปราบปรามได้จนหมดสิ้น
เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของใคร?? แน่นอนว่าทางการจีนแผ่นดินใหญ่ส่งตัวแทนมากวดขันในจุดนี้อย่างเป็นการเป็นงาน แต่ใช่ว่าประเทศไทยจะรับจบทุกเคสไปเสียที่ไหน นั่นเพราะทุนจีนสีเทาจากแผ่นดินใหญ่ ได้กลายเป็นปัญหาระดับ ‘ภูมิภาค’ เข้าไปแล้วอย่างจริงจัง
การตัดไฟเล่นใหญ่ของพื้นที่ชเวก๊กโกเพื่อตัดแขนขาของแก๊งส์คอลเซ็นเตอร์เป็นเพียงมาตรการระดับน้ำจิ้มที่พอทำได้เป็นกระษัย แต่ถ้าจะกวาดล้างกันครั้งใหญ่ ทุกประเทศที่อยู่ในภูมิภาคอาจจะต้องเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น นั่นเพราะระดับความเสียหายที่เกิดขึ้นในตลอดระยะเวลาหลายปี ได้ขุดรากฝังลึกจนการเขี่ยกระแซะแค่ผิวเผิน คงไม่อาจทำให้ปัญหาเหล่านี้ ลดน้อยถอยลง
มาจนถึงตอนนี้ หลังตัดไฟ ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ก็เหมือนจะลดน้อยลง …. เป็นบางส่วน เพราะเชื่อว่าจะมากหรือน้อย พอฝุ่นซาฟ้าปิด พวกที่หลบลงไปใต้ดิน ก็น่าจะโผล่ขึ้นมาทำมาหากินกับประชาชนในละแวกภูมิภาคกันอีกครั้ง ถ้าหากทางการของหลายประเทศ รวมถึงจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่คิดจะใส่ใจหรือจัดใหญ่แบบถึงลูกถึงคน
เพราะกว่าที่ทุนจีนสีเทาจะถูกกวาดหายจากจีนแผ่นดินใหญ่ ก็ใช้มาตรการยาแรงระดับ ‘สั่งแล้วต้องทำ’ ของระบบราชการขนาดนั้น พวกที่ย้ายถิ่นที่ลงมาสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในอาคเนย์ ก็อาจจะต้องผ่านการร่วมมือร่วมใจ และมองมันเป็นวาระ ‘สำคัญ ทำเล่นไม่ได้’ กันสักที ก็เป็นได้
