1 ปีของประสบการณ์วุ่นวายกับ “ขายตรง”
ช่วงนี้มีข่าวธุรกิจขายตรงรายใหญ่กำลังมีประเด็นเรื่องการหลอกลวง มีผู้เสียหายนับหมื่นคน คิดเป็นมูลค่าหลายล้านบาท แม้เรื่องราวจะอยู่ในระหว่างการสืบสวนและหาข้อสรุป แต่สิ่งนี้ ก็ทำให้นึกถึงสมัยที่ผู้เขียนเคยไปวุ่นวายทำธุรกิจประเภทนี้ด้วยตัวเองเป็นเวลาหนึ่งปีไปไม่ได้
เมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน ในตอนที่ผู้เขียนสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยใหม่ๆ แม้ว่าจะทำงานมาตั้งแต่อายุ 19 ปี แต่ก็ยังไม่ได้มีงานที่มีรายได้ที่คงที่ เป็นเพียงอาชีพนักเขียน Freelance ตามหน้าหนังสือ และอยู่ในสภาวะที่ส่งใบสมัครไปตามแหล่งงานต่างๆ อย่างไม่ค่อยจะมีความหวังมากนัก
ในตอนนั้นเอง ที่คนรู้จักของผู้เขียน ได้แวะเวียนเข้ามา และแนะนำให้รู้จัก ‘ธุรกิจขายตรง’ …
โดยประสบการณ์ตอนนั้น ผู้เขียนก็พอรู้เกี่ยวกับกระบวนการและวิธีในการชักชวนคนให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอยู่บ้าง (เคยเจอคนมาสาธิตสินค้า พูดจาหว่านล้อม) แต่ก็ปฏิเสธไปทั้งหมด แต่ในครั้งนั้น เนื่องด้วยเป็นคนรู้จักที่สนิทสนมกัน จึงยากจะปฏิเสธ และลองซื้อสินค้า และสัญญาว่าจะไปลองฟัง ‘สัมมนา’ อะไรที่ว่านั่นสักที
การสัมมนาใหญ่ในห้องโถงของโรงแรม เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดจนยากจะอธิบายได้ มันดูปลุกเร้า มันเต็มไปด้วยเสียงปรบมือ คำพูดให้กำลังใจ และการเน้นย้ำว่าธุรกิจตัวนี้ ‘ง่าย’ แค่ไหน ในการที่จะมีรายได้ระดับพลิกชีวิต มี ‘ผู้สำเร็จ’ ในธุรกิจเดินขึ้นเวทีเพื่อบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาอย่างล้นหลาม ก่อนที่จะจบด้วยการนั่ง ‘After Discussion’ ที่ผู้เขียนก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ และจบด้วยการสมัครเป็น ‘สมาชิกในสาย’ แบบขอไปที
จากครั้งนั้นเอง ที่ผู้เขียนถูกคนรู้จักเทียวไล้เทียวขื่อ ให้ไปเข้า ‘เซ็นเตอร์’ หรือการสัมมนาย่อยประจำอาทิตย์ ด้วยความรู้สึกเกรงใจ (ปนรำคาญใจ) ผู้เขียนก็เลยตัดสินใจไปเพื่อให้เรื่องมันจบๆ สักที ….
จากสัมมนาย่อย สู่การหว่านล้อมพูดคุยในทุกครั้ง และการสัมมนาใหญ่ต่างจังหวัด ที่ในที่สุด โดยไม่ทันรู้ตัว ผู้เขียนก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ระบบ’ การ ‘ขายตรง’ ไปแล้ว
ในตอนนั้นถ้าถามว่าคิดอะไรอยู่ ถึงได้ร่วมหัวจมท้ายไปกับธุรกิจที่เคยคิดว่า มันดูไร้สาระเป็นบ้า ไม่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งคำตอบนั้นแสนง่าย …..
‘ความต้องการมีรายได้’ และ ‘ความมุ่งหมายที่อยากจะทำสิ่งที่อยู่ในฝัน’ เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ที่ผลักให้ผู้เขียน เข้าไปอยู่ในกระบวนการนั้นอย่างพร้อมใจ
และจากวัน เป็นเดือน จากเดือน เป็นระยะเวลาหนึ่งปีเต็ม ที่กิจวัตรประจำวันของผู้เขียน คือการโทรไปชักชวนคนรอบตัว ให้มานั่งฟัง ‘แผนธุรกิจ’ และพยายามชวนให้เข้าไปที่เซ็นเตอร์ เพื่อ ‘ปิดการสมัคร’ ให้ได้ พร้อมทั้งซื้อสินค้าใช้เพื่อรักษาแต้มสมาชิกของตัวเอง
ผู้เขียนคงจะอยู่ในธุรกิจนี้ต่อไป ถ้าไม่ใช่จุดเปลี่ยนสำคัญที่ว่า ทางบริษัทขายตรง มีโปรโมชัน ‘ท่องเที่ยว’ ที่จะต้องทำยอดให้ได้ถึงตามเป้ากำหนด ผู้เขียนอยากใช้สิ่งนี้เป็นหมุดหมายความสำเร็จของตัวเอง มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าสามารถไปเที่ยวได้ และมีรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำ จึงมุ่งมั่นสุดตัวเป็นระยะเวลาสามเดือน
ที่ลงเอยด้วยการหมดเงินไปหลักหมื่น สต็อคสินค้าที่ซื้อมา และการไม่สามารถหาสมาชิกเพื่อผลักยอดได้ตามเป้าหมาย ….
โชคดี ที่ผู้เขียนได้งานประจำที่ตัวเองต้องการ จึงเป็นการ ‘บอกลา’ ธุรกิจขายตรง ที่เข้าไปวุ่นวายเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นเวลาหนึ่งปี ….
ทั้งหมดนี้ แม้มันจะเป็นเรื่องราวที่จบด้วยความล้มเหลว แต่ประสบการณ์ของช่วงเวลาดังกล่าว ก็ทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง อย่างน้อยก็ด้วยราคาที่ไม่บาดเจ็บล้มตาย ล้มละลายกอบกู้คืนมาไม่ได้ (ยกเว้นแต่สต็อคสินค้าที่ใช้เองเป็นเวลาอีกปีกว่าๆ และการเสียเพื่อนสนิทมากๆ ไปหนึ่งคน….) ที่ว่า ….
‘ไม่มีใครฉลาดเกินกว่าจะไม่ถูกดึงเข้าธุรกิจขายตรง….’
คุณอาจจะคิดว่า อย่างเรานี่ รู้ทัน ไม่เดินเข้าไปหาธุรกิจนี้แน่ๆ ใครชวนมาก็ปฏิเสธหมด ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผู้เขียนเคยคิด เคยเข้าใจมาโดยตลอด จนกระทั่งเดินเข้าไป และกลายเป็นส่วนหนึ่งของมันอย่างไม่ทันรู้ตัว ….
เอาเข้าจริง มันไม่เกี่ยวว่าคุณจะฉลาดมากน้อยแค่ไหน ถ้าอีกฝ่ายที่เข้ามาพูดคุยกับคุณ ‘แทงถูกจุด’ คุณจะไม่ดิ้น ไม่หืออือ และเดินเข้าไปด้วยความรู้สึกที่ว่าสิ่งนี้มัน Make Sense สมเหตุสมผลในทุกเหลี่ยมองศา….
จนกระทั่งบาดเจ็บในระดับหนึ่งนั่นล่ะ ถึงได้ลืมตา แล้วค้นพบว่า สิ่งที่ว่า มันไม่มีอะไร Make Sense อะไรเลยสักอย่าง …..
เสียงเชียร์ให้กำลังใจในงานสัมมนา การฟังวนแผนธุรกิจผ่านสื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเป็นกระบวนการที่ทำให้วิจารณญาณของคุณชอกช้ำ เหนื่อยล้า และไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุและผลอย่างที่ควรจะเป็น และเมื่อตอกย้ำมากๆ เข้า คุณก็จะรู้สึกว่า สิ่งเหล่านี้ ธุรกิจตัวนี้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับชีวิตของคุณ
แล้วถ้าคุณคิดว่า คนที่เดินเข้าไปในธุรกิจนี้ มี ‘ความโลภ’ เป็นแรงหนุนส่งเสริม คุณจะประหลาดใจมาก ว่าแต่ละคน มีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป ที่ไม่ได้กำกับอยู่แค่เพียงความโลภต่อเงินและรายได้หลักแสนหรือหลักล้าน ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ถ้าเขาแทงคุณถูกจุด ถ้าเขาจับประเด็นได้ว่าอะไรที่สำคัญสำหรับคุณ คุณก็กลายเป็นลูกไก่ในกำมือไปแล้ว
- ถ้าคุณมีปัญหาการเงิน เขาจะเข้าหาคุณด้วยสัญญาเรื่องรายได้ที่พลิกชีวิตได้…
- ถ้าคุณมีอุดมการณ์อะไรบางอย่าง เขาจะสัญญาว่า ธุรกิจนี้ จะทำให้ฝันคุณเป็นจริง….
- ถ้าคุณมีธุรกิจอยู่แล้ว เขาจะทำให้เห็นว่า นี่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ปลอดภัยในการลงทุน….
แต่ท้ายที่สุด เมื่อความฝันอันสวยงามมันลอกละลายออกมา ความจริงที่ชัดเจนก็ปรากฏตรงหน้า ว่ามันไม่มีสิ่งดีๆ ที่ได้มาโดยไม่ลงแรงกายแรงใจ การบอกว่าอยู่เฉยๆ แล้วมีรายได้ นับเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่คุณอยากจะมี ‘รายได้’ จำนวนมหาศาล มันจะย้อนกลับมาที่คำถามว่า คุณมี ‘ความสามารถ’ และ ‘ความตั้งใจ’ ต่อชีวิตจริงๆ มากน้อยแค่ไหน
และเหนือสิ่งอื่นใด คำว่า ‘ดีเกินกว่าจะเป็นจริง’ ยังคงเป็นสัญชาตญาณที่ใช้ได้ในกรณีนี้อยู่เสมอ ใช่แล้ว…. อะไรที่ฟังแล้วดูดีเกินกว่าที่จะเป็นจริง มันมักจะเงื่อนไขบางอย่างที่ไม่ได้ถูกกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร (หรืออาจจะเขียนกำหนดไว้ในหนังสือสัญญาก่อนเป็นสมาชิก แต่ยาวเหยียดและมากมายเกินกว่าที่จะใส่ใจอ่านให้ละเอียดกันจริงๆ…) กำหนดไว้เป็นเชิงอรรถอยู่เสมอ
อนึ่ง คนสำเร็จในธุรกิจนี้ มี คนทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล มี คนที่ชัดเจนในเรื่องการขาย มี แต่ถ้าสิ่งแรกที่คุณได้ยิน คือคำว่า ง่าย ง่าย และง่าย ขอให้รู้ไว้ว่ามันไม่เคยเป็นเช่นนั้น และหลายครั้ง ‘ทางลัด’ ก็มักจะกลายเป็น ‘ทางหลง’ ให้เดินไปลง ‘หลุม’ กับดัก ที่ทำให้เราเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา และเสียทั้งความรู้สึก โดยไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ นอกจากจะกลายเป็นบทเรียนที่มองย้อนกลับไปก็ได้แต่ขำแห้งๆ ว่า เออ ชีวิตของเรานี้นะ ก็เคยผ่านอะไรแบบนี้มาแล้ว
ท้ายที่สุด ด้วยสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ที่มันซบเซาเหนื่อยล้า มองไปก็ไม่ค่อยจะเห็นทางข้างหน้า การหารายได้เสริมจากงานประจำเป็นสิ่งที่ไม่เสียหาย แต่คุณต้องแน่ใจว่า มันเป็นอะไรที่คุณ ‘เข้าใจ’ มันจริงๆ มีขั้นตอนกระบวนการที่ชัดเจนไม่หมกเม็ดจริงๆ และมันเป็น ‘การลงแรง’ ที่คุณรู้นอกนอกในจริงๆ
แต่ก็อีกนั่นล่ะ เมื่อชีวิตมันยาก การที่จะบอกว่ามันจะต้องยากขึ้นกว่านี้เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น คงไม่ใช่มธุรสวาจาที่คนส่วนใหญ่อยากจะฟังหรือทำความเข้าใจ มันจึงกลายเป็นช่องให้ธุรกิจหลอกลวง สามารถอยู่ได้ และคนทั่วไปไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลยสักอย่าง….
เงินยิ่งมาก คุณยิ่งต้องลงแรงมาก ต้องศึกษามันอย่างชัดเจน ต้องเรียนรู้ผ่านความเจ็บปวดจนกลายเป็นประสบการณ์ คำว่าง่ายๆ อยู่เฉยๆ แล้วมีรายได้นั้น ไม่มีอยู่จริง หรือถ้ามันจะจริง มันก็น้อยมากๆ และแทบเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณเป็นสายท้ายๆ ที่เข้าไปสู่ ‘ธุรกิจขายตรง’….
ก็ยกตัวอย่างสั้นๆ ง่ายๆ ว่าเราไม่เคยเห็น Upline ระดับบนๆ รายได้เป็นแสนเป็นล้าน มันหยุดงานหยุดทำสักที ทั้งที่ก็บอกว่าอยู่เฉยๆ ก็มีรายได้นั่นล่ะ ….