fbpx

Recent News: สรุปข่าวประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2023

GISTDA ดันนวัตกรรมตรวจสอบการสะสมคาร์บอนเพื่อเฝ้าระวังโลกร้อน

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ภายใต้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงานสัมมนา Carbon Atlas 2023 ภายใต้ธีมงาน “Satellite – Powered Carbon MRV for Climate Action นวัตกรรมการติดตามตรวจสอบและรายงานการเปลี่ยนแปลงปริมาณคาร์บอน” โดยการจัดงานในครั้งนี้มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยเข้าร่วมการสัมมนา อาทิ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ และภาคเอกชน

 ดร.สยาม ลววิโรจน์วงศ์ โฆษก GISTDA และผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ กล่าวว่า งานในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนข้อมูล และการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน ตอบสนองต่อความต้องการใช้บริการนวัตกรรมภูมิสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก GISTDA ได้พัฒนานวัตกรรมที่เกิดจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ มาใช้ในการตรวจสอบ ติดตาม และรายงานผลการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งปกคลุมดิน ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งที่ผ่านมาเราได้ดำเนินโครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยข้อมูลภูมิสารสนเทศสำหรับประเทศไทย โดยภายใต้โครงการนี้จะมีการจัดตั้ง ศูนย์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือ Centre for Climate Change Information (CCCI) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาข้อมูลโดยสร้างแบบจำลองเพื่อตรวจสอบและติดตามการสะสมคาร์บอนในพื้นที่สีเขียวทั้งประเทศ ทั้งในพื้นที่ป่าบก ป่าชายเลน การสะสมคาร์บอนในดิน และการสะสมคาร์บอนในแหล่งต่างๆ (Carbon pool) ที่ครบถ้วน

นอกจากนั้น ยังมีการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเนื่องจากการเผาไหม้ทั้งในพื้นที่ป่า และพื้นที่เกษตรกรรม เช่น นาข้าว อ้อย และข้าวโพด เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญให้กับหน่วยงานอื่น ๆ ไว้ใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมถึงการจัดการไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในการกำหนดมาตรการนโยบาย ทั้งในภาพรวมระดับประเทศ และในระดับพื้นที่ เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังเป็นปัญหาที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันแก้ไขปัญหา

โฆษก GISTDA กล่าวต่ออีกว่า การสัมมนาครั้งนี้เราต้องการให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงระบบฐานข้อมูลเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยข้อมูลภูมิสารสนเทศในด้านต่างๆ อาทิหน่วยงานระดับกระทรวง คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีข้อมูลภาพรวมที่ใช้ติดตามสถานะภาพของพื้นที่สีเขียว และการสะสมคาร์บอนทั้งประเทศ และสามารถใช้ข้อมูลสำหรับกำหนดนโยบายสำหรับประเทศไทยเพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ “Carbon Neutrality” ภายในปี ค.ศ. 2050 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ “Net Zero Emission” ภายในปี ค.ศ. 2065 นอกจากนั้น หน่วยงานระดับกรมอย่างเช่น กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลแลชายฝั่ง ได้มีการนำข้อมูลไปใช้บริหารจัดการด้วยการเพิ่มศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนในรูปของเนื้อไม้ในพื้นที่รับผิดชอบ เช่น การเพิ่มพื้นที่ปลูกป่าในพื้นที่ป่าชุมชน หรือในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ต่างๆ การป้องกันรักษาป่า การป้องกันไฟป่า ฯลฯ และทั้ง 3 หน่วยงานดังกล่าวนี้ ก็ยังมีความร่วมมือกันในการพัฒนาแบบจำลองที่เกี่ยวข้องกับการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ร่วมกันในอนาคตกับ GISTDA อีกด้วย

หรือแม้แต่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์มีความร่วมมือกับ GISTDA เป็นระยะเวลายาวนาน และเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมให้ชุมชนสามารถมีรายได้จากการรักษาป่าในพื้นที่ของป่าชุมชน ก็จะร่วมกันดำเนินการพัฒนาแนวทาง วิธีการที่เหมาะสม สำหรับชุมชน เพื่อลดภาระการวางแปลงสุ่มตัวอย่าง ซึ่งต้องใช้ทั้งแรงงาน งบประมาณ และระยะเวลา จำนวนมาก เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียน การ ซื้อ-ขาย คาร์บอนเครดิต ภายใต้ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (TVER) ของ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก อบก. ต่อไป หรือกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ก็สามารถนำข้อมูลที่มีความแม่นยำนี้ไปใช้เพื่อจัดทำรายงานแห่งชาติ (National Communication : NC) และรายงานความก้าวหน้ารายสองปี (Biennial Update Report : BUR) เสนอต่อ สำนักงานเลขธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ในภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งข้อมูลที่ได้นี้เป็นที่ยอมรับถึงความโปร่งใสของข้อมูล สามารถตรวจสอบถึงแหล่งข้อมูล และการได้มาซึ่งข้อมูลสำหรับจัดทำรายงาน เป็นต้น

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันบูรณาการข้อมูลการพัฒนาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ละลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ไข้หวัดใหญ่ในไทยป่วยได้ตลอด ย้ำผู้สูงอายุเป็นกลุ่ม ‘เสี่ยงตาย’ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคเรื้อรัง แนะควรฉีดวัคซีนป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป

ปีพ.ศ. 2566 มีรายงานคนไทยป่วยโรคไข้หวัดใหญ่กว่า 3 แสนราย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเชื่อยอดป่วยจริงอาจทะลุหลักล้านราย เพราะติดเชื้อได้ตลอดปี ป่วยแล้วป่วยซ้ำได้ในปีเดียวกันหากไม่ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เผยผู้สูงอายุเสี่ยงเป็นโรคแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะเป็นกลุ่มเปราะบางและมีโรคประจำตัวร่วมด้วย แนะรัฐเพิ่มจำนวนวัคซีนฟรีให้ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และขยายกลุ่มเด็กโตให้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นเพราะมีโอกาสติดเชื้อไข้หวัดใหญ่แล้วแพร่เชื้อสูง ย้ำวัคซีนคุ้มค่า คุ้มทุน และเป็นที่ยอมรับมากว่า 80 ปีแล้ว

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ กล่าวว่า “ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่มีการระบาดเป็นประจำทุกปี แต่จากช่วง 2-3 ปีที่มีการระบาดของโควิด-19 ทำให้โรคไข้หวัดใหญ่หลบไปและห่างเหินชั่วคราว นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้และมีมาตรการป้องกันโควิด-19 จนในปีพ.ศ. 2566 จึงเห็นชัดเจนว่าประชาชนมีการป่วยโรคไข้หวัดใหญ่จำนวนมาก จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตั้งแต่มกราคม-ตุลาคม 2566 พบผู้ป่วยกว่า 3 แสนราย ซึ่งในจำนวนนี้เสียชีวิต 21 ราย แต่ในความเป็นจริงจำนวนผู้ป่วยอาจจะมากกว่านี้ เนื่องจากผู้ที่มีอาการน้อยไม่ได้เข้ารับการรักษาหรือรักษาที่คลินิกก็ไม่ได้รับการรายงาน จึงเชื่อว่าในปีนี้น่าจะมีผู้ที่ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่อาจถึงหลักล้านคนได้

จากข้อมูลโรคไข้หวัดใหญ่ย้อนหลังของประเทศไทย จะมีความแตกต่างจากประเทศในซีกโลกเหนือ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลี ที่จะมีโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดเฉพาะช่วงฤดูหนาว เมื่อฤดูร้อนโรคจะหายไปหมด แต่สำหรับประเทศไทยอยู่ตรงเส้นศูนย์สูตร จึงพบโรคไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดทั้งปี แต่จะพบผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นในช่วงฤดูฝน เพราะมีความชื้นสูง ฝนตกคนรวมกลุ่ม นักเรียนเปิดเทอม ทำให้โรคไข้หวัดใหญ่มีการระบาดและเด็กนักเรียนจะนำเอาเชื้อไข้หวัดใหญ่เข้าสู่ครอบครัวและผู้สูงอายุที่บ้าน ซึ่งกลุ่มเด็กเป็น ‘กลุ่มเสี่ยงเป็น’ และมักจะรุนแรงในกลุ่มเด็กเล็ก ขณะที่ผู้สูงอายุเมื่อป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่อาจจะมีอาการรุนแรงมาก เรียกว่าเป็น ‘กลุ่มเสี่ยงตาย’ ส่วนคนหนุ่มสาวก็ป่วยได้แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรุนแรง จะเห็นได้ว่าโรคไข้หวัดใหญ่เป็นได้ทุกกลุ่มอายุ และโรคนี้จะคงอยู่กับเราตลอดไป วัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงมีประโยชน์สำหรับคนทุกวัย”

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวด้วยว่า การศึกษาในประเทศไทยกรณีการเข้ารับการรักษาด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ พบว่า มีการสูญเสียทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม การศึกษาพบว่าภาระโรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยมีการจ่ายค่ารักษาทั้งสิ้น ปีละประมาณ 1,100 ล้านบาท และมีการสูญเสียค่าใช้จ่ายทางอ้อมอีก 1,300 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นสูญเสียทางเศรษฐกิจ เป็นเงินจำนวน 2,400 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ทางการแพทย์มีการศึกษาวิจัยถึงวิธีการป้องกันควบคุมโรคที่มีความคุ้มค่า คุ้มทุนมากที่สุด คือ ‘วัคซีน’ และภาครัฐบาลได้นำวัคซีนไข้หวัดใหญ่มาให้บริการฟรีกับกลุ่มเสี่ยงที่ป่วยแล้วจะมีความรุนแรง เช่น เด็กเล็ก ผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคอ้วน หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ

สำหรับประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (aging society) ควรจะมีนโยบายจัดการหรือแนวทางในการป้องกันช่วยลดการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ และเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น สะดวกขึ้น อาทิ ช่องทาง Drive-Thru เช่นเดียวกับประเทศสหรัฐอเมริกาหรือแถบยุโรปที่มีทีมพยาบาลหรือสหสาขาวิชาชีพก็สามารถให้บริการได้สะดวกมาก โดย รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี มองว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีการยอมรับในภาคประชาสังคมของคนไทยมากที่สุด เป็นวัคซีนที่มีการพัฒนาและใช้กันมายาวนานกว่า 50 ปี มีความปลอดภัยสูง นับได้ว่า ‘วัคซีนไข้หวัดใหญ่’ มีความคุ้มค่าและคุ้มทุนอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตาย ช่วยลดความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย โรคแทรกซ้อนรุนแรง การนอนโรงพยาบาล และการสูญเสียชีวิตได้ ซึ่งหากภาครัฐมีการพิจารณาเพิ่มจำนวนวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงป่วยรุนแรงที่มีโอกาสเสียชีวิตได้มีโอกาสเข้าถึงวัคซีนมากขึ้น รวมถึงพิจารณาขยายกลุ่มฉีดฟรีในกลุ่มเด็กโต ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะนำพาเชื้อไข้หวัดใหญ่เข้าสู่ครอบครัวและผู้สูงอายุในบ้าน ก็จะช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมได้อย่างมหาศาล

ขณะที่ ศ. พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่าผู้สูงอายุมักเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงจาก 3 ปัจจัยหลัก ๆ ซึ่งประการแรกสำคัญที่สุด ก็คือ 1) ภาวะภูมิคุ้มกันถดถอยหรือภูมิคุ้มกันที่ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้เหมือนช่วงหนุ่มสาว ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย รวมถึงถ้าติดเชื้อแล้วจะมีความรุนแรงได้ 2) ผู้สูงอายุมักจะมีโรคร่วม เช่น ผู้สูงอายุบางรายอาจมีโรคปอดถุงลมโป่งพอง พอป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ก็จะทำให้หอบเหนื่อยหรือมีเชื้อลงปอดและมีอาการรุนแรงมากกว่าปกติ หรือบางรายอาจเป็นโรคหัวใจอยู่เดิม พอป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่อาจส่งผลให้โรคหัวใจแย่ลงตามไปด้วย หรือหากป่วยเป็นโรคเบาหวาน ก็จะทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายไม่ดี เพราะเซลล์ที่จะไปจับกินเชื้อโรคก็จะทำงานได้ไม่ดี ซึ่งล้วนก่อให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนเนื่องจากมีโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย และ 3) ผู้สูงอายุยังมีภาวะทุพโภชนาการ คือ กินได้น้อยลง กินได้ไม่ครบ 5 หมู่ ก็จะส่งผลให้เกิดโรคได้ง่าย รวมถึงเป็นโรคที่รุนแรงได้ง่าย

ปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ ‘ผู้สูงอายุ’ ควรต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อลดความรุนแรงของโรค ลดการเกิดปอดอักเสบจากการที่เชื้อไวรัสลงปอด ลดการเจ็บป่วยที่จะต้องนอนโรงพยาบาล และลดการเสียชีวิต เนื่องจากการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อในชีวิตประจำวัน เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อย ๆ และการอยู่ห่างจากผู้ติดเชื้อ จะไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา หรือปฏิบัติแล้วก็ยังมีโอกาสป่วยได้เช่นกัน

ทั้งนี้ สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ได้มีคำแนะนำว่า จริง ๆ แล้ว ทุกคนควรจะได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2 ประเภท ได้แก่

  1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ขนาดมาตรฐาน (standard dose) มีปริมาณแอนติเจน 15 ไมโครกรัมต่อ 1 สายพันธุ์ต่อโดส สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุ
  2. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ขนาดสูง (high dose) มีปริมาณแอนติเจน 60 ไมโครกรัมต่อ 1 สายพันธุ์ต่อโดส เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าลดการติดเชื้อแบบมีอาการได้มากกว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ขนาดมาตรฐาน ประมาณร้อยละ 24 และยังลดการนอนโรงพยาบาลจากโรคไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบได้สูงกว่าขนาดมาตรฐาน รวมถึงลดการเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้สูงกว่าขนาดมาตรฐาน โดยอาจมีอาการปวดบริเวณที่ฉีดมากกว่าขนาดมาตรฐานเล็กน้อย

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวทิ้งท้ายว่า “สิ่งสำคัญที่อยากแนะนำในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ คือ ประชาชนไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 1 ปี โดยทุกปีวัคซีนของฤดูกาลใหม่จะเข้ามาในช่วงเมษายน – พฤษภาคม สามารถมาฉีดได้ทันที เพียงให้เว้นระยะห่างจากวัคซีนครั้งก่อนอย่างน้อย 6 เดือน โดยกลุ่มเสี่ยงที่รัฐกำหนดสามารถฉีดฟรีได้ที่หน่วยบริการพยาบาลภาครัฐ หรือสอบถามสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 สำหรับผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงสามารถฉีดได้ที่หน่วยบริการภาครัฐและเอกชน โดยที่จะต้องดูแลค่าใช้จ่ายเอง”

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ