Recent News: สรุปข่าวประจำวันที่ 17 ตุลาคม 2023
airasia Digital ประกาศก้าวต่อไปของ MOVE มุ่งขับเคลื่อนนวัตกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยวยุคใหม่
การขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ที่ตอกย้ำการเป็นแพลตฟอร์มด้านการเดินทางเป็นหนึ่งในงานด้านดิจิทัลของแคปปิตอล เอ โดยหน่วยงานของ airasia Digital ประกาศการเปลี่ยนชื่อเป็น MOVE Digital (MOVE) เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของการเป็นผู้นำแแอปทางด้านการท่องเที่ยวและการเดินทาง โดยการรีแบรนด์ครั้งนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นในการทำธุรกิจให้เติบโตต่อไปทั้งธุรกิจ airasia Superapp และ BigPay
แพลตฟอร์มการเดินทางของ MOVE ซึ่งรวมถึง airasia Superapp จะได้รับการรีแบรนด์ดิ้งพร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “airasia move” ในอนาคตอันใกล้นี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
โทนี่ เฟอร์นานเดส ผู้ร่วมก่อตั้งสายการบินแอร์เอเชียและประธานเจ้าหน้าที่บริหารแคปปิตอล เอ จะเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของ MOVE ในตำแหน่งนี้เขาจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่าง airasia Superapp (ปัจจุบันเรียก airasia move) และ BigPay เพื่อปลดล็อกศักยภาพและการทำงานร่วมกันที่แท้จริงของธุรกิจดิจิทัล
โทนี่ เฟอร์นานเดส ประธานบริหารของ MOVE กล่าวว่า “ชื่อ MOVE สื่อถึงพันธกิจของเราได้ดีในฐานะหน่วยงานด้านดิจิทัลของแคปปิตอล เอ ที่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราในการขับเคลื่อนผู้คน แนวคิด และนวัตกรรมที่มุ่งไปข้างหน้าภายใต้แพลตฟอร์มด้านการเดินทาง ลองจินตนาการถึงการเข้าถึงบริการด้านการเดินทางและบริการทางการเงินได้อย่างราบรื่นไร้รอยต่อบนแพลตฟอร์มเดียว ด้วยฟีเจอร์ทางการเงินที่ผสมผสานอย่างหลากหลายลงตัว อาทิ การแสดงยอดเงินคงเหลือ การเติมเงิน และการชำระเงินจาก BigPay เสริมความแข็งแกร่งให้กับ airasia Superapp ในฐานะแอปพลิเคชั่นด้านการเดินทางได้อย่างลงตัว บทบาทของผมในฐานะประธานกรรมการบริหารของ MOVE คือการส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างทั้งสองธุรกิจ ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ตลาดสามารถคาดหวังได้ถึงประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น นอกเหนือจากการบูรณาการฟีเจอร์ BigPay ภายใน airasia Superapp (ปัจจุบันเรียก airasia move)”
ก้าวใหม่ในนวัตกรรมด้านการเดินทางของ MOVE เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับนาเดีย โอมาร์ เข้าสู่องค์กรในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ airasia move ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของ airasia move ในฐานะแพลตฟอร์มการเดินทางราคาประหยัด ขณะเดียวกันยังร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ BigPay ที่มีผู้นำอย่างซูบิน ราดา คริชนาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม BigPay และโมฮาหมัด ฮาฟิดซ์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรักษาการณ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ airasia Superapp จะยังคงเป็นผู้นำธุรกิจต่อไปในระหว่างนี้ และผมอยากจะขอบคุณเขาสำหรับการมีส่วนร่วมของเขาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
airasia Superapp หรือที่จะรู้จักภายใต้ชื่อใหม่ว่า airasia move นับเป็นแพลตฟอร์มการเดินทางแบบครบวงจรที่มอบความคุ้มค่าและความสะดวกสบายผ่านประสบการณ์การจองแบบครบวงจรที่ไร้รอยต่อในช่วงตลอดสองปีที่ผ่านมา ในขณะที่ BigPay ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะผู้ให้บริการฟินเทคที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยให้ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถพัฒนาชีวิตของพวกเขาในฐานะแพลฟอร์มการจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ
ธุรกิจดิจิทัลของแคปปิตอล เอ ทั้งสองธุรกิจมีการเติบโตอย่างมาก โดย airasia Superapp (ปัจจุบันเรียก airasia move) มีจำนวนผู้ใช้ผู้ใช้งานต่อเดือน (MAU) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 15 ล้านคน ณ สิ้นไตรมาสที่สอง ขณะที่ BigPay มีผู้ใช้บัตรเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
MOVE Digital Sdn Bhd (เดิมชื่อ airasia Digital Sdn Bhd) เป็นบริษัทดิจิทัลในเครือ Capital A Berhad และครอบคลุมธุรกิจ 2 ธุรกิจ ได้แก่ airasia Superapp (ปัจจุบันเรียก airasia move) และ BigPay โดย MOVE มุ่งมั่นที่จะปฏิวัติภาคการท่องเที่ยวและบริการทางการเงินโดยด้วยพันธกิจที่จะนำเสนอโซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมและยึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลางในราคาที่คุ้มค่าที่สุดต่อผู้ใช้งาน
อิคาโน่ รีเทล ผู้ถือแฟรนไชส์อิเกียในประเทศไทย กวาดยอดขาย 40.15 พันล้านบาท ผลประกอบการรวมจากสโตร์อิเกีย 13 แห่ง และศูนย์การค้า 5 แห่ง เพิ่มขึ้น 2.1% ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ
อิคาโน่ รีเทล ผู้ถือแฟรนไชส์อิเกีย นำเข้าสินค้าและของตกแต่งบ้านสัญชาติสวีเดนสู่ประเทศไทย เม็กซิโก สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ รายงานรายได้ในปีงบประมาณ 2566 รวม 40.15 พันล้านบาท (1.08 พันล้านยูโร)อิคาโน่ รีเทล เป็นหนึ่งในผู้ได้รับสิทธิ์อนุญาตแฟรนไชส์อิเกียจาก 12 รายทั่วโลก ปัจจุบันมีสโตร์อิเกีย 13 แห่ง และศูนย์การค้าอีก 5 แห่ง กวาดรายได้เพิ่มขึ้น 2.1% เมื่อเทียบกับรายได้ปีที่ผ่านมา โดยมีผลประกอบการที่หลากหลายในตลาดทั้ง 5 แห่ง แม้ว่าในปีนี้จะมีจำนวนผู้เยี่ยมชมมากขึ้นทั้งในสโตร์อิเกียและศูนย์การค้าก็ตาม
“ขณะนี้ยังคงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากทางเศรษฐกิจสำหรับกลุ่มผู้ค้าปลีก ซึ่งรวมถึงอิคาโน่ รีเทลเช่นกัน ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (value chain) หรือกระบวนการในการดำเนินธุรกิจ สถานการณ์เงินเฟ้อ และพฤติกรรมการใช้จ่ายที่รัดกุมมากขึ้นของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม สโตร์อิเกียและศูนย์การค้ายังสามารถดึงดูดจำนวนผู้เยี่ยมชมได้มากถึง 119.6 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เรายังคงมุ่งมั่นสร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับชุมชนที่อาจเผชิญความฝืดเคืองทางการเงิน ด้วยการนำเสนอวิธีการรวมถึงสินค้าตกแต่งบ้านในราคาที่จับต้องได้ การมอบแรงบันดาลใจต่างๆ ผ่านสโตร์ และการสร้างประสบการณ์ดีๆ ร่วมกันที่ศูนย์การค้าของเรา” มร. คริสเตียน รอยเคียร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อิคาโน่ รีเทล กล่าว
สำหรับในประเทศไทย อิคาโน่ รีเทล เป็นเจ้าของและดำเนินธุรกิจผ่านช่องทางออมนิชาแนล (ominchannel) หรือการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่หลากหลายช่องทาง พร้อมบริหารจัดการสโตร์อิเกีย 3 แห่ง ได้แก่ อิเกีย บางนา อิเกีย บางใหญ่ และอิเกีย ภูเก็ต บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในตลาดประเทศไทยด้วยยอดขายที่โตขึ้น 4.4 % และสามารถปิดยอดปีงบประมาณ 2565 ณ วันที่ 31 สิงหาคม ด้วยรายได้รวมทั้งสิ้น 10.22 พันล้านบาท
“แม้ว่าจะเผชิญความท้าทายมากมาย สโตร์ของเรายังคงสร้างสรรค์ประสบการณ์แบบออมนิชาแนล ในขณะที่เราเดินหน้าพัฒนาเว็บไซต์ ikea.co.th และคิดค้นวิธีใหม่ๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าได้รู้จักและเลือกช้อปสินค้าของเรา เราได้เพิ่มจำนวนฟลีทรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศสิงคโปร์ โดยปัจจุบันคิดเป็น 20% ของรถที่ใช้ในบริการจัดส่งถึงบ้านทั้งหมด และยังได้เปิดตัวจุดรับสินค้าเพิ่มอีก 3 จุดในประเทศมาเลเซียเพื่อให้บริการลูกค้าได้โดยไม่ต้องมีสโตร์อิเกีย อีกทั้งยังได้เปิดตัวบริการออกแบบ remote planning โดยนำบริการออกแบบออนไลน์ของอิเกียไปให้บริการลูกค้าในพื้นที่ห่างไกลในประเทศฟิลิปปินส์ และเร็วๆ นี้ เราพร้อมประกาศเปิดสโตร์แห่งใหม่อีก 2 สโตร์ด้วยกัน ได้แก่ อิเกีย สุขุมวิท สโตร์อิเกียแห่งแรกของประเทศไทยที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ และอิเกีย กัวดาราจารา เอ็กซ์โป สโตร์ในรูปแบบ สแตนด์อโลนแห่งแรกในเม็กซิโก” มร. รอยเคียร์ กล่าวเพิ่มเติม
สินค้าประเภทการจัดเก็บมียอดขายสูงสุดกว่าประเภทอื่นๆ ทั้งหมด สำหรับสโตร์อิเกียภายใต้การดำเนินงานของอิคาโน่ทั้ง 13 สโตร์ นำโดย 3 สินค้าหลัก ได้แก่ ตู้ 4 ลิ้นชัก MALM/ มาล์ม ตู้หนังสือ BILLY/ บิลลี่ สุดไอคอนิก และตู้เสื้อผ้า KLEPPSTAD/ เคลมปป์สตัด ลูกค้าของอิคาโน่ รีเทลทั่วทั้ง 5 ตลาดยังได้เปลี่ยนภาชนะบนโต๊ะอาหารใหม่ โดยได้จำหน่ายสินค้าประเภทจาน จานแบ่ง และชามในคอลเล็คชั่น OFTAS/ ออฟตาสท์ กว่า 5.5 ล้านชิ้น ในขณะเดียวกัน ธุรกิจอาหารของอิเกียยังคงได้รับความนิยมจากนักช้อปในตลาดต่างๆ ของอิคาโน่ รีเทล จากการที่บริษัทบันทึกยอดผู้เข้าใช้บริการกว่า 14.5 ล้านคน สำหรับร้านอาหารอิเกีย คาเฟ่ บิสโทร และมุมอาหารและขนมสวีเดน โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 13% และมีรายได้เพิ่มขึ้น 11.7%
นอกจากสโตร์อิเกียแล้ว อิคาโน่ รีเทล ยังพัฒนาที่ดินและลงทุนด้านการสร้างที่อยู่อาศัย สำนักงาน และโครงการมิกซ์ยูสต่างๆ ผ่านธุรกิจอิคาโน่ เซ็นเตอร์ ซึ่งมีการดำเนินงานภายในห้างสรรพสินค้า 5 แห่ง ที่ประเทศมาเลเซีย ประเทศไทย ได้แก่ ศูนย์การค้า IPC และ MyTOWN ในกัวลาลัมเปอร์ ศูนย์การค้า Toppen ในยะโฮร์บาฮ์รู ศูนย์การค้า Klippa ในปีนัง และศูนย์การค้าเมกาบางนาในกรุงเทพฯ สถานที่เหล่านี้สร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังเป็นแหล่งนัดพบของผู้คนในชุมชน เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ปีที่แล้ว ศูนย์การค้าเมกาบางนาได้ต้อนรับผู้ที่มาเยี่ยมชมคอนเสิร์ตนับถอยหลังส่งท้ายปีกว่า 350,000 คน นับเป็นสถานที่เคานต์ดาวน์ยอดฮิตติด 3 อันดับแรกของกรุงเทพฯ และในเดือนมกราคม 2566 อิคาโน่ เซ็นเตอร์ยังได้เปิดตัวดีแคทลอน (Decatholon) สาขาแรกในมาเลเซียใต้ที่ศูนย์การค้า Toppen
ในช่วงปีงบประมาณล่าสุด อิคาโน่ รีเทล ได้พัฒนาเป้าหมายด้านบุคลากรอีกระดับท่ามกลางตลาดแรงงานที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มร. รอยเคียร์ กล่าวว่า “เราอยากให้เพื่อนร่วมงานทั้ง 5,254 คน มีความก้าวทันสถานการณ์ ได้รับแรงบันดาลใจ พร้อมมีศักยภาพเชิงดิจิทัลที่เพียบพร้อมในโลกค้าปลีกที่ไม่หยุดนิ่ง เราได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการส่งมอบโอกาสที่เท่าเทียมกันทั้งในการเลื่อนตำแหน่งงาน การฝึกอบรม การบรรยาย และการพัฒนาต่างๆ โดยเรามีพนักงานระดับบริหาร 51% เป็นเพศหญิง นอกจากนี้ ในทุกตลาดที่เราดำเนินธุรกิจอยู่ เราสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจโดยมีหลักฐานจากผู้ตรวจสอบบัญชีภายนอกว่าเราจ่ายเงินเดือนพนักงานอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงเพศสภาพ และเราจะเดินหน้าพันธกิจ ‘เงินเดือนและหน้าที่การทำงานที่เท่าเทียมกัน’ โดยเรายังได้มอบสวัสดิการที่เหมือนกันทั้งสำหรับพนักงานพาร์ทไทม์ พนักงานสัญญาจ้าง และพนักงานประจำ”
ปีที่ผ่านมายังเป็นปีแห่งการเรียนรู้ด้านความยั่งยืนและการลดปริมาณขยะที่อิคาโน่ รีเทล “เราได้ริเริ่มความพยายามในการสานสัมพันธ์กับชุมชน พร้อมกับการสร้างเครือข่ายพันธมิตรชุมชนใหม่ๆ โดยได้จัดกิจกรรม Social Day สำหรับพนักงานกว่า 1,000 คน และได้อบรมพนักงานอีกกว่า 2,000 คน ภายใต้หัวข้อด้านความยั่งยืน ในทุกๆ ตลาดของเรา พนักงานได้คิดค้นวิธีการใหม่ๆ เพื่อช่วยลดปริมาณขยะในการจัดส่งสินค้าขั้นตอนสุดท้าย (last mile delivery) โดยใช้ถุง FRAKTA/ ฟรัคต้า สีน้ำเงินที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ มาทดแทนลังกระดาษ และนำเศษลังกระดาษที่ใช้แล้วมาใช้เป็นวัสดุกันกระแทกแทนพลาสติก” มร. รอยเคียร์ กล่าวเพิ่มเติม