Recent News: สรุปข่าวประจำวันที่ 20 มิถุนายน 2023
‘MASTER’ ผู้นำวงการศัลยกรรมความงามของไทย ดันศูนย์ศัลยกรรม ดึงหน้า ยกคิ้ว Face Lift Center by Masterpiece Hospital สู่มาตรฐานระดับโลก
‘MASTER’ ชี้ภาพรวมอุตสาหกรรมศัลยกรรมไทยยังคึกคัก คาดปี 66 ดันมูลค่าตลาดความงามโต 4 หมื่นล้านบาท ลุยขยายตลาดความงามด้านย้อนวัย ดันศูนย์ ศัลยกรรม ดึงหน้า ยกคิ้ว Face Lift Center by Masterpiece Hospital สู่มาตรฐานระดับโลก รองรับลูกค้าไทยและต่างประเทศ ชูจุดเด่นทีมแพทย์ชำนาญการ ด้วยเทคนิคเฉพาะส่องกล้องเอนโดสโคป ปลอดภัย อ่อนเยาว์ สวยเป็นธรรมชาติ
นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จํากัด (มหาชน) (MASTER) ในนาม ‘โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช’ โรงพยาบาลชั้นนำด้านศัลยกรรมความงามของไทย เปิดเผยถึงภาพรวมอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงามในไทยปัจจุบันยังเป็นที่นิยมอย่างมาก คาดว่าในปี 2566 มูลค่าตลาดศัลยกรรมความงามไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 40,000 ล้านบาท ในขณะที่ศัลยกรรมย้อนวัย เป็นหนึ่งในเทรนด์ของโลกที่ไม่จำกัดเพศ อายุ อาชีพ
โดยโรงพยาบาลมาสเตอร์พีชเปิดศูนย์ ศัลยกรรม ดึงหน้า ยกคิ้ว Face Lift Center by Masterpiece Hospital โดยเฉพาะ เพื่อรองรับลูกค้าทั้งจากคนไทยและต่างประเทศ โดยการยกคิ้ว – ดึงหน้า – ดึงคอ ถือเป็นหัตถการที่ฮอตฮิตอันดับสองของโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช รองจากหัตถการด้านเสริมจมูก ถือเป็นโอกาสอันดีในการผลักดันเป็นศูนย์ศัลยกรรมยกคิ้ว ดึงหน้า Face Lift Center by Masterpiece Hospital สู่มาตรฐานระดับโลก
ปัจจุบันโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช มีอาคารสำนักงานและอาคารบริการทางการแพทย์บนพื้นที่ 7,200 ตารางเมตร มีพื้นที่ใช้สอยรวมกว่า 12,000 ตารางเมตร มีห้องผ่าตัด 17 ห้อง และเตียงพักฟื้น 37 เตียง ทีมแพทย์ 42 คน มีพนักงานทุกระดับรวมกว่า 700 คน
สำหรับความสำเร็จที่ทำให้มาสเตอร์พีชเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ในฐานะผู้นำ Specialty Hospital มาจากความเชื่อเรื่องผลงาน เหมือนกับชื่อคำว่า Masterpiece คือ ผลงานชิ้นเอก ผลงานที่อยู่บนหน้าตา อยู่บนรูปร่างของแต่ละบุคคล
การบริหารจัดการแพทย์แบบ Top Star หรือ FC ( Fan Club) ของแพทย์ ด้วยความชำนาญเฉพาะ คือจุดแข็งที่ทำให้คนกลับเข้ามา ซึ่งหากสังเกต มาสเตอร์พีชไม่ได้ใช้ดาราดังในการโปรโมท แต่จะใช้กลุ่ม Influencer และ Key Opinion Leader (KOL) เท่านั้น โดยบริษัทไม่ได้เสียค่าใช้จ่าย แต่เกิดการบอกต่อและสร้างความเชื่อมั่น จนนำไปสู่การตัดสินใจเลือกทำศัลยกรรมกับโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช
ด้านรองศาสตราจารย์ นายแพทย์ถนอม บรรณประเสริฐ หนึ่งในคณะแพทย์ของโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช กล่าวว่า ปัจจุบันการทำศัลยกรรม ยกคิ้ว – ดึงหน้า – ดึงคอ กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมความงาม เพราะนอกจากทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เทคนิคทางการแพทย์ในปัจจุบันยังปลอดภัย และเป็นธรรมชาติ โดยเทคนิคเฉพาะของโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ด้วยการยกคิ้ว – ดึงหน้า ผ่านกล้องเอนโดสโคป ทำให้มีแผลเล็ก บวมช้ำน้อย ฟื้นตัวไว และไร้รอยแผลบนใบหน้า เปรียบเทียบกับการผ่าตัด ยกคิ้ว – ดึงหน้า แบบเดิม โดยทั่วไปจะใช้วิธีการผ่าตัดดึงผิวหนังในบริเวณส่วนที่หย่อนคล้อยให้ตึงกระชับ ไม่ได้ดึงไปถึงส่วนลึกของชั้นกล้ามเนื้อผิวหนังภายในบริเวณใบหน้า
สำหรับเทคนิคใหม่ของศูนย์หัตถการ ยกคิ้ว – ดึงหน้า – ดึงคอ ของโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช เรียกว่า ‘ปฏิบัติการโกงอายุ’ ผสมผสานระหว่างเทคนิคการดึงหน้าแบบผ่าตัดส่องกล้อง เข้ากับการผ่าตัดดึงหน้าในชั้นกล้ามเนื้อ ระดับ SMAS เพื่อจะสามารถดึงชั้นกล้ามเนื้อที่ลึกที่สุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มเทคนิค FACIAL FAT CONTOURING เข้าไปด้วย ช่วยแก้ไขปัญหาจุดบกพร่องบนใบหน้าเฉพาะจุดของแต่ละบุคคลด้วยการจัดแต่ง แก้ไขไขมันของผู้ที่ทำศัลยกรรมเอง ให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
คุณชูชัย ชัยฤทธิเลิศ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจมพีช กรุ๊ป เจ้าของร้าน เจมส์ พีซ บาย ชูชัย (Gem Peace by Chuchai) กล่าวว่า รู้สึกดีที่เลือกโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ที่เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมความงามแห่งแรกที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ mai จากการตัดสินใจ ยกคิ้ว – ดึงหน้า – เสริมหน้าผาก ครั้งนี้มั่นใจถึงศักยภาพของโรงพยาบาลที่มีมาตรฐาน ด้วยทีมแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย หลังจากยกคิ้ว – ดึงหน้าเสร็จ ผลลัพธ์ที่ได้ถูกใจมาก หน้าดูเด็กลงเป็น 10 ปี” คุณชูชัยกล่าวทิ้งท้าย
Technogym เดินหน้าขยายฐานลูกค้ารับเทรนด์สุขภาพ ชูกลยุทธ์ Tailor-made solutions ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะบุคคล เปิดตัว “Technogym Run” นวัตกรรมลู่วิ่งไฟฟ้า ตอบสนองการออกกำลังกายที่หลากหลาย
Technogym ประเทศไทย ตอกย้ำแบรนด์อันดับหนึ่งด้านอุปกรณ์เครื่องออกกำลังกายระดับโลก เปิดตัว Technogym Run ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ปฏิวัติวงการ อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดในโลก ผสมผสานระหว่างการออกกำลังกายแบบ Cardio และ Power ในเครื่องเดียว พร้อมฟังก์ชันการใช้งานครบครัน ตอบโจทย์การออกกำลังกายที่หลากหลายมากขึ้น
นายสุรเชษฐ์ อมรรัตนเวช กรรมการบริหาร Technogym ประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบัน Technogym เป็นผู้นำตลาดอุปกรณ์และเครื่องออกกำลังกายที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะแบรนด์อุปกรณ์ออกกำลังกายชั้นนำระดับโลก ที่ผสมผสานนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านการออกกำลังกายและสุขภาพเข้าไว้ด้วยกัน พร้อมด้วยการออกแบบสไตล์อิตาลี คุณภาพที่เป็นเอกลักษณ์ และความสะดวกในการใช้งาน โดยมีความมุ่งมั่นพัฒนาอุปกรณ์และนวัตกรรมการออกกำลังกายรูปแบบใหม่ๆ เพื่อตอบสนองเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกครั้งจะมุ่งตอบโจทย์ลูกค้า แต่ละเซ็กเมนต์ที่มีความต้องการแตกต่างกัน ล่าสุดได้เปิดตัว “Technogym Run” ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ปฏิวัติวงการ มาพร้อมเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดในโลก สามารถใช้งานได้หลายฟังก์ชั่น โดยรวบรวมการออกกำลังกายตั้งแต่การวิ่ง พาวเวอร์เทรนนิ่ง การฝึก Bootcamp ไว้ในลู่วิ่งเครื่องเดียว ทำให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเทรนด์ของตลาดที่หลากหลายมากขึ้น
จุดแข็งของ Technogym คือการเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งด้านอุปกรณ์เครื่องออกกำลังกายระดับโลกจากประเทศอิตาลี ทั้งยังเป็น Trends Setter ของวงการอุปกรณ์เครื่องออกกำลังกาย หรือ ผู้นำเทรนด์ตลาดให้อยู่ในกระแสเสมอ โดยปัจจุบัน Technogym เป็นแบรนด์ที่มีอุปกรณ์ออกกำลังกายหลากหลายที่มีคุณภาพระดับพรีเมียม มาพร้อมกับหน้าจอคอนโซล TECHNOGYM LIVE ที่อัพเดทอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงคอนเทนต์การฝึกการออกกำลังกายตามเป้าหมาย และทำให้เครื่องออกกำลังของ Technogym เพียงหนึ่งเครื่องสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้หลากหลาย สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้มากขึ้น
“นักวิ่งแต่ละคนต่างมีเป้าหมายและความต้องการแตกต่างกัน ทั้งวิ่งเพื่อต้องการจะรักษาความฟิต เพื่อการลดน้ำหนัก เพื่อการพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ดีขึ้น หรือ ภายในหนึ่งครอบครัวที่มีผู้ใช้งานตามจุดประสงค์ที่ต่างกัน เช่นผู้ฝึกวิ่งในระยะเริ่มต้นไปจนถึงนักวิ่งที่ฝึกซ้อมเพื่อการแข่งมาราธอนและไตรกีฬา จึงจำเป็นต้องมีลู่วิ่งไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ทุกคนได้”
ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของ Technogym แบ่งเป็นกลุ่ม B2B คือ โรงแรม, ที่อยู่อาศัย คอนโด หมู่บ้านจัดสรร, โรงพยาบาลและ Wellness Center, บริษัท สำนักงาน, สถานศึกษา, และฟิตเนส และกลุ่ม B2C คือลูกค้าที่ซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายใช้ในบ้าน ซึ่งที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น “ลูกค้ากลุ่ม end-user หลายคนปรับพื้นที่ภายในบ้านให้สามารถวางอุปกรณ์ออกกำลังกายได้จนไปถึงการเปลี่ยนห้องที่ไม่ได้ใช้งานให้เป็น Home gym ทำให้ตลาดในกลุ่มของผู้ใช้งานส่วนตัวที่บ้านเติบโตอย่างมาก ในส่วนกลุ่ม B2B ธุรกิจต่างๆ ก็ปรับตัวให้สอดรับกับ Wellness trends มากขึ้น เช่น โรงแรมหรือคอนโดจะมีฟิตเนสมากกว่า 1 ที่ เพื่อให้แขกเข้าถึงการออกกำลังกายง่ายขึ้น โดยอาจมี Fitness studio ขนาดเล็กให้แขกสามารถจองไปใช้งานแบบส่วนตัว หรือใช้ในการจัดคลาสออกกำลังกายกับเพื่อนเป็นกลุ่มเล็กๆ หรือในส่วนธุรกิจฟิตเนสเองก็มีการออกแบบโปรแกรมที่ personalized ให้กับ member มากขึ้น” นายสุรเชษฐ์ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การเติบโตของ Technogym มุ่งให้ความสำคัญทั้งในแง่การดูแล และประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับ ทั้งลูกค้าปัจจุบันและการสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆ ผ่านกลยุทธ์ Tailor-made เพื่อตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้ามากที่สุด ในส่วนกลุ่มลูกค้าปัจุบัน ทางแบรนด์จะมีการดูแลประสบการณ์ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อลูกค้าต้องการเลือกซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายเพิ่มเติม Technogym จะเป็นแบรนด์ที่ลูกค้านึกถึงด้วยคุณภาพและการบริการที่ตอบโจทย์ของลูกค้า ส่วนกลุ่มลูกค้าใหม่ จากเทรนด์การดูแลสุขภาพที่มาแรงต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มลูกค้าทั้ง end-user และธุรกิจต่างๆ เห็นถึงความสำคัญของการมีโซนสำหรับการออกกำลังกายมากขึ้น จะเป็นส่วนสำคัญในการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น
นายสุรเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราพบว่าผู้ใช้งานมีความต้องการที่ personalized มากขึ้น และต้องการเห็นผลลัพท์ของการออกกำลังกายในแต่ละครั้ง รวมไปถึงความหลากหลายของการออกกำลังกาย ดังนั้นอุปกรณ์ออกกำลังกายต้องสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ Technogym เข้าใจและเห็นถึงความสำคัญในส่วนนี้จึงออกแบบอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานให้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์การออกกำลังกายแบบ personalized การแสดงผลลัพท์การออกกำลังกาย รวมไปถึง wellness on the go หรือการเข้าถึงการออกกำลังกายได้ทุกที่ทุกเวลา”
ปัจจุบัน Technogym ในประเทศไทยมี 2 สาขา ที่เอกมัยและเซ็นทรัล เอ็มบาสซี โดยมี 2 รูปแบบคือ Experience Center และ Boutique สำหรับสาขาเซ็นทรัล เอ็มบาสซีจะเป็น Boutique ที่มีการตกแต่งที่สวยงาม เน้นตอบโจทย์ลูกค้า B2C โดยวางไอเท็มหลักที่ลูกค้ามักเลือกไว้ใน Home gym ที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ขณะที่สาขาเอกมัยจะเป็นการผสมผสานระหว่าง Boutique และ Experience Center เข้าด้วยกัน ตอบโจทย์ทั้งลูกค้า B2B และ B2C โดยจำลองประสบการณ์ต่างๆ ที่ผู้ใช้งานจะได้รับจากการออกกำลังกายในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม, ฟิตเนส, Wellness Center, Sport club ให้ลูกค้าสามารถทดลองใช้เครื่องได้อย่างเต็มที่ โดยต้นปี 2567 มีแผนเปิดสาขาใหม่ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งจะเป็นการผสมผสานระหว่าง Boutique และ Experience Center ไว้ในที่เดียว
สำหรับ Technogym Run คือลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์ ที่เกิดจากประสบการณ์ในการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมเพื่อการออกกำลังกายมามากกว่า 30 ปี ของ Technogym ทำให้ Technogym Run เป็นลู่วิ่งไฟฟ้าที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดในโลก ฟังก์ชันการใช้งานครบครัน รวมการออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การวิ่ง พาวเวอร์เทรนนิ่ง และการฝึก Bootcamp ไว้ในลู่วิ่งเครื่องเดียว หน้าจอคอนโซล Technogym Live ขนาด 27 นิ้ว ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกประสบการณ์การวิ่งที่ต้องการได้จากโปรแกรมและโหมดการฝึกที่หลากหลาย ได้แก่ cardio, strength หรือ high-intensity จากโปรแกรมออกกำลังกายบน Technogym Live ตามที่ผู้ใช้งานต้องการ อย่างเช่น Trainer-led Sessions, Routines ที่ปรับการออกกำลังกายได้ตามเป้าหมาย และ Virtual Outdoor ที่จำลองการออกกำลังกายแบบเสมือนจริง สามารถปรับความเร็วและความชันได้ตามเส้นทางที่ผู้ใช้งานเลือก
นอกจากนี้ Technogym Live ยังมีตัวเลือกความบันเทิงไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็น Netflix, YouTube, TV, โซเชียลมีเดีย และอีกมากมาย ยังรวมไปถึงการฝึก Bootcamp ที่ตัวคอนโซลยังมีโปรแกรมสำหรับออกกำลังกายที่สามารถใช้งานร่วมกับ Technogym Bench เพื่อผลลัพธ์การออกกำลังกายที่ดีที่สุด
“มาร์ส เพ็ทแคร์” นำสินค้ารีไซเคิลจากซองอาหารสัตว์เลี้ยงกว่า 7 ตันจากโครงการ “แลกแล้ว-ลดเลย” ปีที่ 2 ส่งมอบให้ BMA Dog Park สวนเทียนทะเลพัฒนาพฤกษาภิรมย์ ของกรุงเทพมหานคร
มาร์ส เพ็ทแคร์ (ประเทศไทย) เผยโครงการ “แลกแล้ว-ลดเลย” (SWAP Recycling) จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างล้นหลาม สามารถรวบรวมถุงผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงใช้แล้วได้กว่า 655,000 ซอง นำถุงไปรีไซเคิลและนำมาปรับภูมิทัศน์ของ BMA Dog Park สวนเทียนทะเลพัฒนาพฤกษาภิรมย์ และยังเป็นการช่วยลดขยะบรรจุภัณฑ์ได้ประมาณ 7.3 ตัน
นายรัชกร เจนพัฒนพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป ประจำประเทศไทยและอินโดจีน บริษัท มาร์ส เพ็ทแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนและอยากเห็นอนาคตที่พลาสติกบรรจุภัณฑ์จะไม่เป็นขยะอีกต่อไป จึงเป็นที่มาของการจัดโครงการ “แลกแล้ว-ลดเลย” (SWAP Recycling) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เมื่อปีที่ผ่านมา ที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการลดขยะและ รีไซเคิลบรรจุภัณฑ์พลาสติก เพียงนำถุงเปล่าอาหารสุนัขหรืออาหารแมว มาแลกรับส่วนลดในการซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ในเครือของมาร์ส เพ็ทแคร์ คือ PEDIGREE® WHISKAS® IAMS® CESAR® และ SHEBA® สูงสุด 100 บาท ที่ร้านค้าที่ร่วมรายการ ซึ่งในปีที่ผ่านมา มีผู้บริโภคเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 106,701 คน ผ่าน 174 ร้านค้าที่ร่วมรายการ โดยสามารถรวบรวมถุงบรรจุภัณฑ์พลาสติกอาหารสุนัขและแมวที่ใช้แล้ว ได้กว่า 655,000 ถุง มีน้ำหนักรวม 7,262 กิโลกรัม และส่งต่อไปยังโรงงานรีไซเคิลที่จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรีไซเคิลขยะพลาสติก เพื่อแปรรูปบรรจุภัณฑ์ให้เป็นผลิตภัณฑ์บล็อกปูพื้นรูปแมว บล็อกปูพื้นรูปอุ้งเท้าสุนัข และม้านั่งรูปกระดูก
“โครงการแลกแล้ว-ลดเลย ปีที่ 2 ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ส่งผลให้สามารถลดขยะพลาสติกบรรจุภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงได้มากถึง 7.3 ตันในปีที่ผ่านมา ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคมีความตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและขยะพลาสติกมากขึ้น โดย 95% ของผู้ร่วมกิจกรรมซื้อสินค้าของมาร์ส เพ็ทแคร์เป็นประจำ กว่า 60% มีแรงจูงใจหลักในการร่วมกิจกรรมคือความต้องการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และกว่า 90% ยืนยันว่านโยบายด้านความยั่งยืนของแบรนด์มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ โดยมาร์ส เพ็ทแคร์ ได้นำเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่ผลิตจากการรีไซเคิลถุงบรรจุภัณฑ์มอบให้กับกรุงเทพมหานคร เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ของ BMA Dog Park สวนเทียนทะเลพัฒนาพฤกษาภิรมย์ สู่เป้าหมายการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นให้กับสัตว์เลี้ยง” นายรัชกร กล่าว
นายประพาส เหลือศิรินภา ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพและการเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของกรุงเทพมหานคร ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการ “แลกแล้ว-ลดเลย” ของมาร์ส เพ็ทแคร์ ในการลดขยะบรรจุภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ส่งเสริมให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงแยกขยะ และต่อยอดด้วยการนำผลิตภัณฑ์จากการรีไซเคิลมาตกแต่งสวนสาธารณะเพื่อสุนัขของกรุงเทพมหานครเป็นแห่งที่สองในครั้งนี้ กรุงเทพมหานคร ขอขอบคุณมาร์ส เพ็ทแคร์ ที่มีความตั้งใจในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดขยะบรรจุภัณฑ์ และร่วมขับเคลื่อนค่านิยมการคัดแยกขยะให้เกิดขึ้นอย่างเป็นนามธรรม”
โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ของ BMA Dog Park สวนเทียนทะเลพัฒนาพฤกษาภิรมย์ เป็นความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครและมาร์ส เพ็ทแคร์ เพื่อพัฒนาสวนสาธารณะเพื่อสุนัขให้ตอบโจทย์สุนัขและเจ้าของมากขึ้นภายใต้โครงการ “Better Cities for Pets” หลังจากโครงการนำร่องความร่วมมือที่ปรับปรุง BMA Dog Park สวนวัชราภิรมย์ ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานครบถ้วน ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา
นายรัชกร กล่าวเพิ่มเติมว่า “โครงการ Better Cities for Pets ของมาร์ส เพ็ทแคร์ ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและเป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง เสริมสร้างสุขภาวะของสัตว์เลี้ยงที่ดีขึ้น ส่งเสริมกิจกรรมนอกบ้านระหว่างเจ้าของและสัตว์เลี้ยง รวมถึงมอบความรู้เรื่องการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่มีความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม”