fbpx

รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่ชอบ ความลงตัวที่ได้ทั้งมุมอง แนวคิด และความสุข ของผู้หญิงที่ชื่อ วิชญา บุณยเกตุ

หากคุณเป็นสายนักอ่าน และชื่นชอบการอ่านนิยาย เชื่อว่าคงพอจะคุ้นชื่อ นภาสรร หรือ วาสิตา ที่มีสไตล์การเขียนแนวฟีลกู้ด อ่านสบายๆ  เรียกรอยยิ้มและอิ่มเอมใจ เป๋นการอ่านเรื่องราวที่เปรียบเสมือนการพักผ่อนจากความเครียดที่ต้องเผชิญกันอยู่รอบตัวอย่างในปัจจุบัน

 และไม่ใช่สไตล์การเขียนเท่านั้นที่สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับคนอ่าน เพราะเมื่อทีมงาน GM Live ได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของนามปากกานภาสรร หรือ วิชญา บุณยเกตุ และที่เพื่อนๆ คนรอบตัว รวมถึงเจ้าตัวที่ใช้สรรนามแทนตัวเองว่า แตม  สาวสวยตาคมโต เจ้าของผลผงานนิยายหลากหลายเล่ม ก็ได้เห็นถึงมุมมองและแนวคิดของความเป็นคนคิดบวก โดยเฉพาะเมื่อเธอเล่าถึงการงานและสิ่งที่เธอทำด้วยความรัก ยิ่งเมื่อสาาวแตมพูดถึงการอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอรักและชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยแล้ว บอกได้เลยว่าประกายตาของเธอนั้นช่างดูสดใสและมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด

เห็นแบบนี้แล้ว….. อยากมีปรากฎการณ์รณรงค์เรื่องการอ่านหนังสือกันอย่างจริงจังสักที!!!

วิชญา บุณยเกตุ หรือ แตม ผ่านการทำงานมาหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นงานธนาคาร อาจารย์มหาวิทยาลัย รวมถึงงานเอเจนซีโฆษณาแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ  โดยในปัจจุบันเธอเลือกที่จะทำงานจากในที่ตัวเองรักคือสายงานด้านอาหาร ด้วยการช่วยงานธุรกิจร้านอาหารของครอบครัว (ร้านรถเสบียง China place และ Maze Dining) ควบคู่ไปกับการเขียนนิยาย ซึ่งเธอเขียนมาสิบกว่าปีแล้ว ถึงปัจจุบันนี้มีผลงานนิยายออกมาสิบแปดเล่ม  โดยมีผลงานที่ได้รับการติดต่อเพื่อทำเป็นละครแล้วคือเรื่องประทีปรักแห่งใจ  ซึ่งเป็นละครเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และ เรื่องสาวใช้เดลิเวอรี ที่กำลังสร้างเป็นละครทางช่องเจ็ด  โดยเสาวแตมยังแบ่งเวลาว่างหรือเวลาที่เธอเครียดไปฝึกโยคะอีกด้วย ซึ่งเจ้าตัวบอกว่านอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้วก็ยังเป็นการฝึกสมาธิ และทำให้จิตใจโล่งโปร่งสบาย อีกด้วย

แรงบันดาลใจจุดเริ่มต้นของการมาเขียนนิยาย

เพราะความที่ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ เรียกว่าโตมากับหนังสือเลยก็ว่าได้ ทำให้ในช่วงเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยเธอจึงเลือกคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเริ่มสนใจอ่านนิยายจริงจังตอนเรียนปีสาม แต่เริ่มเขียนนิยายครั้งแรกเมื่อตอนทำวิทยานิพนธ์ช่วงเรียนต่อปริญญาโท ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นการเขียนเพื่อคลายเครียด โโยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่า นี่แหละคือ ก้าวแรก หรือจะเรียกว่าจุดเริ่มต้นของ นภาสรร ในวงการนักเขียน

แตมชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กค่ะ ตั้งแต่จำความได้ก็โตมากับหนังสือแล้ว เริ่มจากอ่านหนังสือนิทาน พอเรียนประถมก็สนใจวรรณกรรมแปล จำได้ว่าช่วงพักกลางวัน เพื่อนๆ เล่นกัน เราก็ไปห้องสมุด ไปยืมหนังสือมาอ่าน นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ   ส่วนนิยายนี่เริ่มมาอ่านตอนช่วงเรียนมหาวิทยาลัยค่ะ  ซึ่งแตมเรียนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เลยมีโอกาสได้อ่านหนังสือหลากหลายประเภท ได้เรียนรู้ทักษะการเขียนจากที่คณะฯ  ส่วนนิยายนี่เริ่มมาอ่านจริงจังตอนช่วงปีสามปีสี่  และเมื่อเพื่อนคุณแม่เห็นว่าชอบอ่านหนังสือ แล้วท่านก็มีนิยายเยอะมาก พอปิดเทอมท่านก็เอาหนังสือนิยายมาให้อ่านเป็นลังๆ เลยค่ะ ทุกช่วงชีวิตก็เลยมีหนังสือเป็นเพื่อนตลอด

 แต่แตมมาเริ่มลองเขียนนิยายครั้งแรกตอนเรียนปริญญาโท MA in IT (Information Technology) University of Nottingham,UK  เป็นช่วงเวลาระหว่างทำวิทยานิพนธ์ที่รู้สึกเครียดๆ ก็เลยลองเขียนนิยายดู แต่ก็เขียนได้แค่บทเดียว เพราะตอนนั้นต้องเร่งงานวิทยานิพนธ์ให้เสร็จก็เลยไม่ได้เขียนต่อ  หลังจากนั้นก็ไม่ได้เขียนนิยายอีกเลย กลับมาเริ่มเขียนจริงๆ ตอนที่บริษัทสถาพรบุ๊คส์เปิดคัดเลือกนักเขียนหน้าใหม่ในโครงการ New Star the Writer แตมเลยลองส่งผลงานไปค่ะ แล้วก็ได้รับเลือกให้เข้าร่วมโครงการ และนั้นทำให้ได้เรียนรู้หลักการเขียนนิยาย แล้วก็ได้คลอดผลงานชิ้นแรกออกมาคือนวนิยายเรื่องสอดสร้อยมาลา มาจนถึงตอนนี้ก็มีผลงานนวนิยายที่ตีพิมพ์แล้วสิบแปดเล่ม

ประสบการณ์แรกในการทำงานสายนักเขียน

แต่สำหรับเส้นทางในสายงานนักเขียนนั้นเธอไม่ได้เริ่มต้นที่ผลงานนิยาย แต่เป็นเรื่องเล่าและประสบการณ์ที่ได้ไปเรียนที่สถาบันสอนทำอาหารชื่อดัง เป็นการต่อยอดความรู้ เพื่อกลับมาช่วยดูธุรกิจร้านอาหารที่บ้าน และงานเขียนสายอาหารก็ถาโถมเข้ามาทั้งงานเขียนพ็อคเก็ตบุ๊คส์ และการเป็นคอลัมนิสต์

เริ่มงานเขียนชิ้นแรกจากการเขียนเล่าประสบการณ์การเรียนทำอาหารที่เลอ กอร์ดอง เบลอ กับสำนักพิมพ์วงกลมค่ะ หลังจากนั้นก็เขียนงานพ็อคเก็ตบุ๊คส์แนวอาหารและท่องเที่ยวมาโดยตลอด ควบคู่กับการเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนิตยสารอาหารเล่มต่างๆ ถึงแม้งานเขียนที่ผ่านมาจะไม่ได้เป็นแนวนิยายเลย แต่ประสบกาณ์ในงานเขียนที่ผ่านมาก็ช่วยเพิ่มประสบการณ์และมีส่วนหล่อหลอมทักษะการเขียนนิยายได้มากจริงๆค่ะ

สิ่งที่ทำให้ผลงานเป็นที่รู้จัก และได้รับความสนใจ

การเข้าสู่เส้นทางสายนักเขียน ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จ แต่สำหรับ นภาสรร หรือ วิชญา บุณยเกตุ นั้นเชื่อว่าด้วยสไลต์การเขียนที่เข้าถึงง่าย มีสำนวนการเขียนที่ผสมผสานของความเป็นรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัวจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของงานเขียนนั่นเอง

เป็นเพราะแตมมีผลงานที่ออกอย่างต่อเนื่อง และเขียนงานมาสิบกว่าปีแล้ว โดยสไตล์งานเขียนของแตมจะออกแนวฟีลกู้ดอ่านง่ายๆ  สำนวนการเขียนจะเป็นงานที่ผสมผสานของงานนิยายรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ อาจเป็นเพราะแตมอ่านงานนิยายรุ่นเก่ามามาก ก็เลยได้อิทธิพลแนวคิดแนวเขียนมาด้วย ส่วนใหญ่แล้วกลุ่มคนอ่านจะเป็นรุ่นผู้ใหญ่มากกว่ารุ่นเด็กๆค่ะ

สมัยตอนที่เขียนนิยายใหม่ๆ ตื่นเต้นอยากให้บทประพันธ์ของตัวเองเป็นละครมากเลยค่ะ เพราะชอบดูละครมาตั้งแต่เด็ก เคยฝันว่าอยากมีละครที่สร้างจากนามปากกาของตัวเองบ้าง อยากเห็นว่าถ้าผลงานเรื่องราวของเราถูกสร้างสรรค์ดัดแปลงในลักษณะสื่ออื่นจะออกมาเป็นอย่างไร  และความฝันนี้ก็เป็นจริงเพราะมีบทประพันธ์ที่ผลิตเป็นละครแล้ว  แตมทั้งดีใจแล้วก็ภูมิใจมากค่ะ

แต่พอเขียนงานไปสักพัก ก็ไม่ได้คาดหวังมากแล้ว  เพราะการตั้งเป้าที่คิดว่าอยากเขียนนิยายให้เป็นละคร จะมีกรอบความคิดบางอย่างว่าพล็อตจะเหมาะกับการสร้างเป็นละครไหม เพราะฉะนั้นการเขียนโดยไม่ได้ตั้งกรอบ จึงช่วยสร้างมิติให้กับตัวงานได้มากขึ้น และคนอ่านก็คงสัมผัสความแตกต่างตรงนี้ได้ แต่ถ้าได้ทำเป็นละครก็ถือว่าเป็นโบนัสค่ะ

ความรู้สึกกดดันหรือกังวล

แน่นอนว่าเมื่อมีผลงานออกมา ย่อมเป็นที่รู้จัก และมีแฟนคลับที่ติดตามผลงาน  ซึ่งนั่นอาจสร้างความกังวลหรือความรู้สึกกดดันต่องานเขียนชิ้นอื่นๆ ที่จะตามมา แต่สำหรับคุณแตมแล้ว เธอเขียนงานด้วยความสุขเพราะเธอรักที่จะเขียนจริงๆ

ไม่ได้กดดันอะไรเลยค่ะ เพราะไม่เคยคาดหวังว่าหนังสือที่เขียนออกมาจะต้องเป็นเบสต์เซลเลอร์ หรือถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างเป็นละคร  แตมเขียนงานเพราะอยากจะเขียนจริงๆ อยากให้คนอ่านสนุกและมีความสุขที่ได้อ่านเรื่องของแตม แน่นอนว่าผลงานทุกชิ้นย่อมไม่ได้สมบูรณ์แบบ อาจจะมีจุดอ่อนหรือสิ่งที่ควรปรับปรุง แต่ก็จะพยายามพัฒนาจุดด้อยในงาน เพื่อพัฒนางานเขียนให้ดีขึ้นในเล่มถัดๆไปค่ะ

ยิ่งเดี๋ยวนี้มีเพื่อนๆ ร่วมอาชีพที่เกิดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแตมก็ไม่กดดันเลยค่ะ ดีใจมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะการมีนักเขียนหน้าใหม่เกิดขึ้นแสดงว่ายังมีคนให้ความสนใจงานเขียนอยู่ และแน่นอนว่ายังมีกลุ่มคนที่ชื่นชอบการอ่านหนังสืออยู่ด้วย อยากให้มีนักเขียนหน้าใหม่เยอะๆ จะได้มีหนังสือหลากหลายแนวให้ได้อ่าน วงการหนังสือจะได้เติบโตพัฒนาต่อไปด้วยค่ะ

มุมมองต่อการเขียนนิยายนิยายวาย 

ต้องยอมรับว่าโลกที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย แม้แต่แวดวงงานเขียนนิยาย ที่ก่อเกิดนักเขียนรุ่นใหม่มากมายในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ ยิ่งช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ธุรกิจล่มสลาย หลายคนลุกขึ้นมาเป็นนักเขียนนิยาย โดยเฉพาะนิยายสายวายซึ่งกำลังแพร่หลายและเป็นที่นิมอยู่ขณะนี้  สำหรับเรื่องนี้ ในฐานะนักเขียนนิยายรุ่นพี่ คุณแตมมีมุมมองที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

นักเขียนมีอิสระมากขึ้น ทั้งในแง่การเสนอความคิด พล็อตที่มีความแปลกใหม่ ความรักที่หลากหลายแนว และมีพื้นที่ในการเสนอผลงานที่มากขึ้น โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ คิดว่าเป็นความโชคดีของนักเขียนในปัจจุบันค่ะ จะนำเสนองานก็ไม่ต้องผ่านสำนักพิมพ์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว แตมมองว่านิยายรุ่นใหม่ๆ เนื้อเรื่องเดินไว กระชับขึ้น ลดบทบรรยายลง คนอ่านรุ่นเก่าอาจจะมองว่าขาดความงามด้านวรรณศิลป์ แต่โดยส่วนตัวก็คิดว่าเป็นความชอบส่วนบุคคล เพราะคนอ่านก็เติบโตมากับยุคสมัย สภาพสังคม แนวคิด และการใช้ภาษาที่ต่างกัน

และสำหรับนิยายวายที่กำลังได้รับความสนใจเป็นที่นิมอยู่ในขณะนี้ คงเป็นเพราะมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบันที่เปิดกว้างในเรื่องเพศที่หลากหลายมากขึ้น และเป็นมุมมองความรักที่ฉีกจากนวนิยายในอดีต ซึ่งเป็นความรักระหว่างชายหญิง โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องดีเพราะ ได้ขยายฐานกลุ่มผู้อ่านให้เพิ่มมากขึ้น มีความหลากหลายให้เลือกเสพตามความชอบ แต่ตัวเองไม่คิดจะเขียนงานวาย เพราะคงจะถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดีนัก และยังสนุกกับงานเขียนแนวเดิม ขอเป็นผู้อ่านแทนจะดีกว่าค่ะ

และในฐานะนักเขียนอยากให้คนหันมาอ่านหนังสือกันเยอะๆ  เพราะตอนนี้คนรุ่นใหม่หันไปให้ความสนใจกับการดูซีรีย์หรือหนังมากกว่า  ไม่อยากให้ทอดทิ้งการอ่าน เพราะจริงๆ หนังสือก็มีความละเมียดละไมบางอย่างที่ไม่สามารถแสดงออกหรือสื่อเป็นภาพเคลื่อนไหวได้ แล้วก็อยากให้วงการหนังสืออยู่ไปได้นานๆ มีผลงานดีๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ

ตัดสินใจไปเรียนทำอาหารที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ

ความรับผิดชอบเป็นอีกสิ่งที่นักเขียนสาวคนนี้ให้ความใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบต่องานที่เธอทำ หรือแม้แต่ความรับผิดชอบที่ต้องมีต่อธุรกิจครอบครัว การต่อยอดความรู้ด้านอาหารจึงเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่เธอตั้งใจจะทำ และเธอก็ทำได้ดีเพราะเป็นอีกสายงานที่เธอรัก

ที่บ้านแตมทำธุรกิจร้านอาหาร คิดว่าถ้ามีพื้นฐานด้านการทำอาหารก็จะช่วยพัฒนาอาหารของทางร้านได้ แล้วแตมเองก็ชอบทำอาหารกินเองค่ะ เลย ถือว่าได้เรียนรู้เพิ่มเติมในสิ่งที่ตัวเองชอบด้วย ซึ่งในช่วงเวลานั้นทางการเรียนการสอนที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ ก็ไม่ต่างจากสมัยนี้มากนัก คือเน้นการสอนตั้งแต่ขั้นพื้นฐานไปจนถึงเทคนิคการทำอาหารขั้นสูงค่ะ แต่อาจจะต่างกันตรงสมัยที่แตมเรียนยังไม่มีอุปกรณ์สำหรับช่วยในการทำอาหารมากเท่ากับสมัยนี้ รูปลักษณ์การนำเสนออาหาร หรือการใช้วัตถุดิบในสมัยนี้ก็หลากหลายขึ้นเปลี่ยนแปลงตามเทรนด์ของยุคสมัยไปจริงๆ

สำหรับเมนูเด็ดพิเศษ ที่แตมสามารถทำแบบแสดงฝีมือที่สุดของตนเอง คือ ไก่อบยัดไส้พร้อมเครื่องเคียงที่ทำช่วงเทศกาลคริสต์มาสค่ะ ที่บ้านจะจัดงานคริสต์มาสทุกปี และจะมีไก่อบยัดไส้ที่คุณอาทำทุกปี ถือเป็นจานโปรด ก็เลยฝึกทำและเริ่มคิดสูตรของตัวเอง จนกลายเป็นมนูประจำช่วงคริสต์มาสซึ่ง ที่บ้านก็ชอบรับประทานเมนูนี้กันมากๆ แต่ก็ไม่ได้ทำเมนูนี้บ่อยนัก จะทำในโอกาสพิเศษจริงๆ เพราะขั้นตอนในการเตรียมอาหารค่อนข้างนานค่ะ

ความรู้สึกต่อสายงานด้านอาหารและสายงานด้านเขียน

และเมื่อถามถึงความรู้สึกที่ได้ทำงานที่รักไปพร้อมๆ กัน คุณแตมรู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อบ้างหรือเปล่า ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นทำให้รู้ได้ทันทีว่าการได้ทำงานที่รักนั้น คือความสุขที่แท้จริงของเธอ

สำหรับแตมเองมีความรู้สึกแบบเดียวกันคือ เป็นสิ่งที่ทำเพราะชอบและมีความสุขที่จะทำ เวลาที่ได้ทำอาหารหรือเขียนนิยายก็รู้สึกเหมือนได้พักผ่อนจริงๆ ได้อยู่กับตัวเอง เหมือนได้หลบไปอยู่ในโลกส่วนตัว ได้ชาร์ทแบตเต็มที่

ตัดสินใจไปเรียนโยคะ

อย่างที่มีคนกล่าวไว้ว่า โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ เพราะในที่สุดสิ่งคุณแตมก็ค้นพบความชอบที่เข้ามาเติมเต็มความสุขในชีวิตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง โดยไม่กระทบต่อความสุขที่มีอยู่เดิมเลยสักนิด

มื่อห้าปีก่อน โหมเขียนนิยายทั้งวัน ก็เลยปวด คอ บ่า ไหล่มากค่ะ แล้วก็ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย บ่อยๆเข้าก็เลยคิดว่าถ้าไม่ลุกมาออกกำลังกาย ขยับตัวบ้างคงจะแย่แน่  เลยลองไปฝึกโยคะ เพราะดูไม่หนักมากและได้เหยียดยืดส่วนที่ตึง พอได้ฝึกแล้วก็ติดใจจนถึงขั้นหลงรักเลย เพราะว่าอาการปวดเมื่อยตัวหายเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงขึ้น เลือดลมดี แล้วก็มีกล้ามเนื้อสวยๆ เป็นของแถม

สิ่งที่ได้มากกว่าสุขภาพกายที่ดีขึ้น ก็คือ ได้ฝึกสมาธิและลมหายใจ รู้สึกว่าตัวเองนิ่งขึ้นมีสติขึ้น ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ พอฝึกได้ราวๆ สามปีก็ไปเรียน ครูโยคะ เลยค่ะ แต่ก็ไม่ได้รับสอนนะคะ ทุกวันนี้ใช้ความรู้ที่เรียนๆ มาฝึกโยคะเอง ปรับความหนักเบาให้เหมาะกับสภาพร่างกายของตัวเองแต่ละช่วง

แนวคิด มุมมอง ต่อการใช้ชีวิตจากสามสิ่งที่ชอบเขียนหนังสือ ทำอาหาร เล่นโยคะ

ไม่ใช่ทุกคนจะได้ทำในสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบ ได้อย่างลงตัว และยังส่งผลต่อมุมมองความคิดในการใช้ชีวิตได้อย่างดีเยี่ยมเฉกเช่นเดียวกับที่คุณแตมได้รับจากสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้

การใช้ชีวิตก็สอดคล้องกับงานและงานอดิเรกที่ทำค่ะ การเขียนหนังสือทำให้แตมเติบโตทางความคิดมากขึ้น เติบโตไปกับตัวละครในทุกๆ เรื่องที่เขียน และบางครั้งตัวละครที่แตมเขียนก็ได้สร้างประสบการณ์และมุมมองใหม่ๆให้ชีวิตแตมเช่นกัน  เวลาที่ความคิดตีบตันเขียนไม่ออกก็เป็นสัญญานบอกให้ต้องหยุดพักสักนิด อาจจะเครียดมากไปแล้ว 

ส่วนการทำอาหารก็สอนให้แตมใช้ชีวิตอย่างสมดุลย์ เหมือนอาหารที่ปรุงออกมาแล้วอร่อย รสชาติก็ต้องพอดี

สำหรับโยคะสอนให้แตมยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น แล้วก็ไม่ควรฝืนทำอะไรเกินกำลังตัวเองค่ะ

และนี่คือความลงตัวที่ได้รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่ชอบ  ที่สะท้อนมุมอง แนวคิด และความสุข ของผู้หญิงที่ชื่อ วิชญา บุณยเกตุ ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน พร้อมยอมรับและเข้าใจกับความเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นสัจธรรมของชีวิตค่

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ